ส่วนความคืบหน้าการลงทุนคลังสินค้าทั่วไปและสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็งในประเทศเพื่อนบ้านนั้น คาดว่าในเมียนมาร์จะเริ่มเปิดให้บริการได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ ส่วนใน สปป.ลาวและกัมพูชา อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 59 ซึ่งโครงการในต่างประเทศนั้นจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ภายในครึ่งปีแรกของปีหน้า
“เราคาดว่าผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากการขยายการลงทุนของเราทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี จากปัจจัยการเปิด AEC ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายการลงทุนเข้ามาในประเทศไทยเพื่อใช้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ซึ่งจะช่วยให้โลจิสติกส์กลายเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่มีอนาคตสดใส"นายชวนินทร์ กล่าว
นายชวนินทร์ กล่าวว่า เป้าหมายดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะผลประกอบการจะเติบโตเป็นเลข 2 หลัก เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 2,284 ล้านบาท เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งรองรับการให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ลูกค้าให้ความไว้วางใจในการเข้ามาใช้บริการด้านโลจิสติกส์ของ JWD เพิ่มมากขึ้น
สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/58 (กรกฎาคม-กันยายน) ว่า บริษัทฯ สามารถสร้างอัตราการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ ใหญ่ ซึ่งสามารถทำได้ 87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 605 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ไตรมาส 3/58 เติบโตอย่างโดดเด่นเป็นผลมาจากการลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็ง (คลังสินค้าห้องเย็น) ที่ตำบลมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร เพิ่มขึ้นอีก 1 อาคาร มีพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร ซึ่งแล้วเสร็จตั้งแต่ต้นไตรมาส 3 โดยมียอดอัตราการเช่าพื้นที่กว่า 80% และธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าอันตรายได้ติดตั้งเครนขาสูงแล้วเสร็จ 2 ตัว จากทั้งหมด 4 ตัว เพื่อใช้ทดแทนรถ Reach Stacker ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการจัดเรียงตู้คอนเทนเนอร์สินค้าอันตราย รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างกำไรจากธุรกิจของบริษัทฯ ที่ดียิ่งขึ้น
ขณะที่ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้ายานยนต์ ได้ขยายการให้บริการจัดการรถยนต์เชิงรุกแบบ On-Site Service โดยเข้าไปให้บริการถึงบริเวณพื้นที่ลานจอดพักรถของผู้ผลิตยานยนต์และธุรกิจรับส่งสินค้า มีการให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดน(Cross Border) และการให้บริการขนส่งรถยนต์(Car Carrier) เติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ช่วยสนับสนุนการทำกำไรขั้นต้นที่ดี ประกอบกับ ผลประกอบการไตรมาส 3/57 มีการรับรู้ประมาณการหนี้สินทางบัญชี มีผลทำให้ผลประกอบการเปรียบเทียบระหว่างไตรมาสมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ การดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม-กันยายน) โดยบริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ทั้งสิ้น 243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีรายได้รวม 1,778 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน