ขณะที่ผลดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี บริษัทมีรายได้ 116,005 ล้านบาท มีกำไร 4,288 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 4,263 ล้านบาท และคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.10 บาท
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า รายได้ที่ลดลงเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงถึง 18% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือ 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบในไตรมาส 2/58 เท่ากับ 61.26 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และในไตรมาส 3/58 เท่ากับ 49.99 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันดิบเกินความต้องการ
ประกอบกับในไตรมาส 3/58 ได้รับผลกระทบจากการเปิดดำเนินการโรงกลั่นขนาดใหญ่แห่งใหม่ในซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่งผลให้การนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปลดลง ซึ่งจากภาวะที่น้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงนี้ ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นมี Inventory Loss จำนวน 1,415 ล้านบาท และเมื่อรวมกับบริษัทย่อย ทำให้มี Inventory Loss จำนวน 1,458 ล้านบาท
รวมทั้งค่าการกลั่นพื้นฐานที่ปรับตัวลดลงจากส่วนต่างราคาน้ำมันดิบกับผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และปัจจัยด้านฤดูกาล ถึงแม้จะมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันรวมของบริษัทที่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า โดยธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันบางจาก สามารถกลั่นได้เต็มกำลังการผลิตสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ในอัตราเฉลี่ยที่ 116,700 บาร์เรล/วัน ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แม้ค่าการกลั่นพื้นฐานจะปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 7.90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ด้านธุรกิจการตลาด มีปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันรวม 1,272 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากความต้องการใช้น้ำมันของผู้บริโภคที่ลดลงด้วยปัจจัยด้านฤดูกาลโดยเฉพาะภาคการเกษตร แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเน้นนโยบายการขายผ่านสถานีบริการน้ำมันเป็นหลัก และลงทุนขยายสถานีบริการใหม่ ทันสมัย และคุณภาพดีเพิ่มขึ้น โดยยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 และครองใจผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนธุรกิจไบโอดีเซล มีรายได้ 1,326 ล้านบาท มีอัตราการผลิตเฉลี่ยที่ 366,000 ลิตร/วัน ส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์มีจำนวนลดลง เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนซึ่งส่งผลให้ค่าความเข้มแสงเฉลี่ยของทั้งโครงการต่ำลง
สำหรับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีรายได้จากการขาย 374 ล้านบาท ลดลง 56% จากไตรมาสก่อนหน้า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงและส่งผลให้ราคาขายปรับลดลงตามไปด้วย โดยมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดิบรวม 209,998 บาร์เรล ทั้งนี้ บริษัท NIDO ได้รับการตรวจประเมินโดยบริษัท Gaffney Cline and Associates ซึ่งพบปริมาณทรัพยากรที่อาจจะผลิตได้เพิ่มเติมในแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Galoc ในบริเวณที่เรียกว่า Mid-Galoc ในปริมาณ 2C เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ประมาณ 9.5 ล้านบาร์เรล คิดเป็นสัดส่วนของ NIDO เท่ากับ 5.3 ล้านบาร์เรล โดย NIDO และพันธมิตรร่วมจะดำเนินการพัฒนาการผลิตต่อไป
อนึ่ง BCP มีแผนขยายธุรกิจด้านพลังงานและธุรกิจ Non-Oil ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มรายได้ สร้างความมั่นคงให้แก่ธุรกิจในระยะยาว และกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิม และเตรียมความพร้อมเข้าสู่ธุรกิจในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)