นอกจากนี้ ยังนับเป็นครั้งแรกที่อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึงร้อยละ 32 ต่อยอดขายในไตรมาส 3/58 เทียบกับร้อยละ 30.8 ในไตรมาส 2/58 ซึ่งการปรับตัวที่ดีขึ้นโดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการประหยัดต่อขนาดที่มากขึ้น (economies of scale) จากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในโรงงานใหม่ ซึ่งช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยให้ต่ำลง รวมทั้งเป็นผลจากการควบคุมต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นด้วย
ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานสามารถทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกันที่ 602 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 100 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับกำไรของไตรมาส 2/58 และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน กำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเติบโตของยอดขาย ต้นทุนขายที่ลดลง ขณะที่ส่วนหนึ่งถูกหักกลบด้วยค่าใช้จ่ายในการขายบริหารและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น
ทางด้านกำไรสุทธินั้น กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิรวม 573 ล้านบาทในไตรมาส 3/58 เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากกำไร 490 ล้านบาทในไตรมาส 2/58 แต่ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่611.1 ล้านบาท เนื่องจากในปีที่แล้วมีกำไรพิเศษจากค่าชดเชยประกันภัย ซึ่งถ้าไม่นับรวมรายการดังกล่าวกำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ส่งผลให้ในไตรมาส 3/58 มีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 1.00 บาทต่อหุ้น และ 2.77 บาทต่อหุ้น
สำหรับช่วงเก้าเดือนของปี 58 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายรวม 9,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 648 ล้านบาท คิดเป็นประมาณร้อยละ 8 เทียบกับยอดขายในช่วงเดียวกันในปี 57 ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งผลประกอบการที่ดีนั้นเป็นผลมาจากการขยายกิจการในโรงงานแห่งใหม่และบางส่วนเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน
นายบัญชา กล่าวเพิ่มเติมว่า เคซีอีจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานใหม่ต่อเนื่องไปในระหว่างไตรมาส 4/58 เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นโดยผู้บริหารเชื่อว่าผลการดำเนินงานของปี 58 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตรอบใหม่สำหรับธุรกิจของกลุ่มบริษัท