บริษัทคาดว่าปีหน้าจะเริ่มมีกำไรจากธุรกิจเทรดดิ้งพัดลมที่ตั้งเป้าจะมีรายได้ราว 200 ล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin)ที่ระดับ 10-15% ผ่านช่องทางการจำหน่าย 3 ช่องทางหลัก คือ ดีลเลอร์ตามภูมิภาคต่างๆของประเทศ โมเดิร์นเทรด ซึ่งวางจำหน่ายทั้งโฮมโปร โฮมเวิร์ค บิ๊กซี สยามโกลบอลเฮาส์ และช่องทางที่ 3 การขายให้โครงการโดยตรง ซึ่งขณะนี้มีสินค้าเข้ามาพร้อมแล้ว และยังมองหาการขยายตลาดไปยังต่างประเทศทั้งพม่า และกัมพูชา
นายยุทธนา กล่าวต่อว่า บริษัทเตรียมนำบริษัทลูกเกี่ยวกับพลังงานและ อสังหาริมทรัพย์เข้าจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายในระยะเวลา 3-5 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าธุรกิจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,800 ล้านบาท และมูลค่ายอดขายรอโอน(Backlog) ไม่ต่ำกว่า 2,000-3,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจด้านพลังงานจะต้องมีผลประกอบการที่น่าสนใจ ซึ่งจะต้องมีพันธมิตรในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและติดตั้งโครงการพลังงานทดแทนเข้ามาร่วมก่อน
ในส่วนธุรกิจไฟฟ้าจากการร่วมทุนกับ บมจ.สวนอุตสาหกรรม วินโคสท์(WIN)ที่จะมีกำไรเข้ามาในปี 59 บริษัทฯได้ร่วมกับบริษัทลูก 3 แห่ง ยื่นข้อเสนอเข้าร่วมโครงการรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร(โซลาร์ฟาร์มส่วนราชการฯ)ราว 3-4 โครงการ กำลังการผลิตโครงการละ 5 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้อย่างน้อย 10 เมกะวัตต์ คาดว่าจะรู้ผลการประมูลในช่วงเดือน ธ.ค. นี้
ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรในธุรกิจเกี่ยวกับงานรับเหมาก่อสร้างด้านพลังงานทางเลือก เพื่อเพิ่มอีก 1 ในไลน์ธุรกิจในบริษัทพลังงาน
นายยุทธนา กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีกำไรสุทธิจากการขายคอนโดมิเนียม 2 โครงการ คือ บางนาคันทรี่ จำนวน 19 ห้อง และที่เป็นห้องชุดสำนักงานจำนวน 2 ห้อง ที่ พี.เอส.ทาวเวอร์ อโศก รวมมูลค่าราว 50 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับพันธมิตร โดย CEI ถือ 75% พันธมิตรถือหุ้น 25% ภายใต้บริษัทร่วมทุน แลนด์มาร์ค จำกัด ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โครงการแรกเปิดแล้วที่สัตหีบเป็นคอนโดมิเนียมมูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท ปัจจุบัน มียอดขายแล้ว 25% คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 3/59
พร้อมกันนั้น ยังเตรียมเปิดโครงการอีกอย่างน้อย 1 โครงการ มูลค่าราว 200-300 ล้านบาท และเตรียมงบลงทุนไว้อีกราว 300 ล้านบาทเพื่อใช้ซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่
อนึ่ง บริษัทเตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 16 พ.ย. เพื่อเปลี่ยนชื่อบริษัทฯ เป็น บริษัท แอดวานซ์ คอนเนคชั่น คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ACC เพื่อให้มีความเหมาะสมต่อภาพรวมธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงไป