ขณะที่ตั้งเป้ากำไรสุทธิปี 59 ไม่ต่ำกว่าปีนี้ที่วางเป้าหมายไว้ 1 หมื่นล้านบาท แม้จะมีหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น 30 วันในช่วงปลายปีหน้า และคาดว่าอัตรากำไร(มาร์จิ้น)ของโรงกลั่นน้ำมันจะอ่อนตัวลง แต่เชื่อว่ามาร์จิ้นจากโครงการต่างๆที่ได้ลงทุนมาก่อนหน้านี้รวมถึงมาร์จิ้นจากโครงการ EVEREST จะช่วยผลักดันกำไรให้ดีขึ้นได้
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าวว่า โครงการ EVEREST จะช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้กับบริษัท นอกเหนือจากโครงการ DELTA ที่ลงทุนเสร็จสิ้นไปแล้ว รมทั้งโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์(UHV) ที่เริ่มเดินเครื่องผลิตในปีนี้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาส 1/59 และจะรับรู้ประโยชน์เต็มที่ในช่วงไตรมาส 2/59 ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้ราว 3 พันล้านบาท/ปี อีกทั้งโครงการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) 3 แสนตัน/ปีที่จะแล้วเสร็จกลางปี 60
ทั้งนี้ เป้าหมายของโครงการ EVEREST จะช่วยสร้างมาร์จิ้นให้ได้ราว 100 ล้านเหรียญสหรัฐในปีหน้า และเพิ่มเป็น 300 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปีตั้งแต่ปี 60
"โครงการ UHV เสร็จทำให้โรงกลั่นแข็งแรง PP ทำให้ปิโตรเคมีแข็งแรง สามารถสร้างกำไรได้ทัดเทียมโรงกลั่นและปิโตรเคมีอื่น แม้จะมีโครงการเดลต้าและ PP เสร็จก็ยังไม่ดีพอที่จะทำให้เราเข้าสู่ระดับ TOP Quartile เพื่อให้บรรลุเป้าหมายจึงมีโครงการ EVEREST ขึ้นมาเพื่อต่อยอดมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น ทำให้บรรลุเป้าหมายอัตราส่วนผลตอบแทนต่อการลงทุน มากกว่า 14% และบรรลุวิสัยทัศน์เพื่อเป็นบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำของเอเชียภายในปี 63"นายสุกฤตย์ กล่าว
นายสุกฤตย์ กล่าวว่า ตามเป้าหมายในปี 63 บริษัทจะมี EBITDA ที่ระดับ 2.9 หมื่นล้านบาท/ปี จากราว 1.7 หมื่นล้านบาทในปีนี้ และมีระดับอัตราส่วนผลตอบแทนต่อการลงทุน(ROIC)มากกว่า 14% จากระดับ 8% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นระดับ Top Quartile ของกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี ของเอเชียแปซิฟิก
โครงการ EVEREST มีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี จะเป็นตัวขับเคลื่อนผลการดำเนินงานให้ได้ตามเป้าหมายในอีก 5 ปีตามแผน ด้วยเงินลงทุนไม่เกิน 60 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 20% ของมาร์จิ้นที่ได้จากโครงการ ซึ่งเป็นเงินลงทุนในส่วนของซอฟท์แวร์ต่างๆและค่าที่ปรึกษา ขณะที่ช่วงนี้บริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีก โดยปีหน้าจะใช้เงินลงทุนราว 1.2 หมื่นล้านบาทส่วนใหญ่ใช้ในโครงการ UHV และ PP ส่วนขยาย แต่จะเน้นการสร้างรายได้จากสินทรัพย์ที่ได้มีการลงทุนไปแล้ว
หลังจากการลงทุนทั้งสองโครงการเสร็จสิ้น บริษัทก็จะนำเงินไปชำระคืนเงินกู้เพื่อลดภาระหนี้สินลง เพื่อให้บริษัทมีความแข็งแรงมากขึ้นพร้อมลงทุนในโครงการใหม่ต่อไป
"ปัจจุบันมีภาระหนี้สินระยะยาว 5.1-5.2 หมื่นล้านบาท และหนี้สินระยะสั้น 2-3 หมื่นล้านบาท โดยจะชำระคืนหนี้สินระยะสั้นในช่วง 2-3 ปีนี้เพื่อให้บริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้น บริษัทจะเริ่มแข็งแกร่งและพร้อมลงทุนอีกครั้งในปี 2018 การลงทุนจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีนี้ เราจะเน้นสร้างกำไรจาก asset ก่อน"นายสุกฤตย์ กล่าว
แต่นายสุกฤตย์ กล่าวว่า แผนโครงการลงทุนต่างๆ จะยังคงอยู่ รวมถึงโครงการพาราไซลีน (PX) ขนาด 1.8 ล้านตัน/ปี ที่ร่วมกับบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC) และบมจ.ไทยออยล์(TOP) คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จในช่วงต้นปีหน้า หากจะมีการลงทุนก็จะอยู่ในช่วงหลังปี 60 ขณะที่การศึกษาโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนพลังงานจากปัจจุบันที่อยู่ราว 6-7% นั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/59
ส่วนการควบรวมกิจการกับ PTTGC นั้น คาดว่าจะเริ่มเจรจาร่วมกันเพื่อดูว่าจะศึกษาการรวมกิจการระหว่างกันหรือไม่ ภายหลังจากที่โครงการ UHV แล้วเสร็จในไตรมาส 1/59
"เราจะคุยกันหลัง UHV แล้วเสร็จมาดูว่าจะศึกษาร่วมกันไหม ถ้าเราพร้อม เขาพร้อม เห็นร่วมกันที่จะศึกษาก็จะใช้เวลาศึกษาอย่างน้อย 6 เดือนดูว่าจะ synergy กันได้มากพอไหม"นายสุกฤตย์ กล่าว
นายสุกฤตย์ กล่าวว่า แนวโน้มผลดำเนินงานในไตรมาส 4/58 คาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันจะทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาส 3/58 ที่อยู่ระดับ 13-14 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน หลังมองว่าราคาน้ำมันช่วงสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ระดับสูงกว่าช่วงสิ้นไตรมาส 3/58 ที่ราว 44 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้น้ำมันสูง
ขณะที่บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะอยู่ที่ราว 1 หมื่นล้านบาท หลังจากช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ทำกำไรสุทธิได้แล้ว 8.95 พันล้านบาท ส่วนปีหน้าตั้งเป้าหมายว่าจะมีกำไรสุทธิสูงขึ้นอีก ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายมาก เนื่องจากในปีนี้มีกำไรพิเศษมากถึง 4 พันล้านบาท แต่ปีหน้าจะไม่มีกำไรพิเศษเข้ามา และยังมีแผนจะหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันในช่วงปลายปีเป็นเวลา 30 วัน
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการ UHV ที่แล้วเสร็จจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้ราว 3 พันล้านบาท/ปีตั้งแต่ปีหน้า รวมถึงยังมีมาร์จิ้นจากโครงการ EVEREST เข้ามาอีกราว 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานได้ แม้ภาพรวมของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในปีหน้าจะอ่อนตัวลง โดยคาดว่า GIM จะอ่อนตัวจากราว 12.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะยังทรงตัวในระดับที่ดี ตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงทุก 1 บาท/ดอลลาร์ จะช่วยเพิ่มกำไรได้ราว 130 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมี EBITDA ที่สูงกว่าภาระเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในปีหน้าบริษัทมีแผนจะกู้เงินราว 1 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ทดแทนเงินกู้เดิม และลงทุนด้วย แต่ยังไม่ได้สรุปว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้หรือกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
นายสุกฤตย์ กล่าวด้วยว่า กลุ่ม ปตท.ประเมินราคาน้ำมันดิบในปี 59 อยู่ที่ระดับ 53-56 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีนี้ที่ราว 50-51 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังมองว่าราคาน้ำมันที่ลดลงในช่วงนี้ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำทำให้การผลิต shale gas และ shale oil ในตลาดโลกลดลงไป แต่ก็จะมีการผลิตน้ำมันจากอิหร่านและอิรักออกมามากขึ้น ทำให้เชื่อว่าราคาน้ำมันจะไม่กลับไปยืนระดับ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งการที่ราคาน้ำมันฟื้นตัวในระดับช้าๆจะส่งผลดีต่อโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี เพราะมีต้นทุนพลังงานในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง