"ไตรมาสที่ 3 เป็นไตรมาสที่ยอดขายของบริษัทฯอาจจะไม่ได้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้นของเรา คือตัวเลขกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าพอใจ แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงเดินหน้าสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ด้วย โดยเฉพาะในตลาดเมียนมาร์ และกัมพูชา ที่ถึงแม้ว่าออเดอร์จะยังเข้ามาไม่สูงมากนัก แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี และมีโอกาสที่ยอดขายจะเติบโตขึ้นในอนาคต"นายวสันต์กล่าว
ทั้งนี้ ผลประกอบการของ PIMO ประจำไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.58 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.29 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6.77 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 19.05% และมีรายได้รวม 135.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.22 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้อยู่ที่ 135.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 0.16%
ไตรมาสที่ 3/58 บริษัทฯมีกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นถึง 19.05% ถึงแม้ว่าจะมีรายได้รวมที่ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 2 เนื่องจากไตรมาสที่ 3 บริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่ช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทฯยังคงเร่งเดินหน้าหาลูกค้าใหม่เพิ่มเติม ทั้งลูกค้าในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯก็เริ่มได้รับคำสั่งซื้อมอเตอร์จากประเทศเมียนมาร์ และกัมพูชา หลังจากที่ได้มีการเดินทางไปออกบูธเพื่อแสดงสินค้า คาดว่าในปีนี้บริษัทฯจะสามารถทำรายได้รวมสูงกว่า 500 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดย 9 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ บริษัทฯมีรายได้รวมแล้ว 388.85 ล้านบาท