ในไตรมาส 3/58 บริษัทฯ มีรายได้รวม 496.05 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 938.21 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายรวม 385.47 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายรวม 936.06 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 3 เดือนที่ 36.27 ล้านบาท จากที่เคยขาดทุน 14.61 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2557
นายอนาวิล กล่าวถึงอุตสาหกรรมเหล็กแท่งยาวในปีนี้ว่า ยังคงมีทิศทางเติบโตได้ดี ถึงแม้ภาคอุตสาหกรรมยังคงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้การใช้เหล็กยังคงชะลอตัว แต่กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับงานวิศวกรรมโครงสร้าง พื้นฐานด้านต่างๆ ตามนโยบายการลงทุนโครงการภาครัฐยังคงขยายตัวได้ดี และยังเป็นช่องทางที่สามารถเติบโตได้
ส่วนการทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมากของเหล็กจากประเทศจีน ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับการทำธุรกิจในช่วงที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งบริษัทฯ พร้อมปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่แท้จริง ทั้งการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และการให้บริการที่รวดเร็วและลูกค้าได้รับความสะดวกสูงสุด ซึ่งเป็นจุดแข็งที่บริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งมั่นใจว่าธุรกิจเหล็กของ CHOW ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งรายได้จากการขายไฟฟ้าที่ปัจจุบันสามารถผลิตขายในเชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 8.48 เมกะวัตต์ รายได้จากการให้บริการเป็นที่ปรีกษาโครงการ และรายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง โดยจะเห็นการรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานเข้ามาอย่างชัดเจนตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทได้มีนโยบายขยายฐานธุรกิจไปยังธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพิ่มจากธุรกิจเหล็กที่เป็นธุรกิจหลัก เนื่องจากคณะกรรมการบริษัทฯ เห็นว่าเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดรายได้และกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ สนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคงในอนาคต ทั้งยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวตามปณิธานของคณะกรรมการได้ โดยได้เริ่มโครงการที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก และได้ขยายฐานไปยังประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อกลางปีที่ผ่านมา