(เพิ่มเติม) TASCO คาดกำไรปี 59 นิวไฮตามปริมาณขาย-รายได้โต,ซื้อกิจการในอินโดฯ-เวียดนามหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 16, 2015 17:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) คาดว่าการที่คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการเข้าซื้อกิจการยางมะตอยจากบริษัทในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งถือเป็นก้าวแรกตามแผนงาน 5 ปี จะช่วยหนุนยอดขายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นทันทีประมาณ 15% โดยจะเสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในวันที่ 5 ม.ค.59 ขณะที่มั่นใจกำไรปีนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่และจะต่อเนื่องอีก 2-3 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายภายในปี 63 จะเป็นบริษัทที่เน้นสินค้าและบริการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยางมะตอยและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเลียมอย่างครบวงจร และเป็นตัวเลือกหลักของคู่ค้าต่างๆจากทั่วโลก โดย Vision ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 59-63) คือ จัดจำหน่าย/ส่งมอบ ผลิตภัณฑ์ยางมะตอยและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 6 ล้านตันใน 5 ทวีปหลักอย่างยั่งยืน และเน้นความรับผิดชอบต่อสังคม

นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ TASCO กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 8.5 พันล้านบาท โดยแบ่งใช้เฉลี่ยปีละ 1.7 พันล้านบาท โดยเป็นงบลงทุนปกติปีละ 800 ล้านบาท ใช้สำหรับการขยายกำลังการผลิตโรงกลั่นยางมะตอยในมาเลเซียเพิ่มเป็น 5 หมื่นบาร์เรล/วันในปี 62 จาก 2.5 หมื่นบาร์เรล/วันในปัจจุบัน โดยใช้เงินลงทุนไนการขยายกำลังการผลิตอยู่ที่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมไปถึงใช้สำหรับการซื้อเรือเพิ่มอีก 2 ลำ ลำละ 15-20 ล้านเหรียญสหรัฐ และการใช้ทำดีลการควบรวมและการซื้อกิจการ(M&A) บริษัทยางมะตอยในเวียดนามและอินโดนีเซีย "หลังจากจบดีล M&A ที่เวียดนามและอินโดฯแล้วเราก็จะหยุดการทำ M&A ไปสักพัก เพราะเราอยากให้โรงงานที่เวียดนามและอินโดฯ run ได้อย่างเต็มที่ และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัท"นายชัยวัฒน์ กล่าว

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับในปี 59 บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายยางมะตอยอยู่ที่ 2.5 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 15% จากปี 58 โดยมีปัจจัยหนุนจากการเข้าซื้อกิจการบริษัทขายยางมะตอยในเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่จะช่วยให้ปริมาณการขายเข้ามาเพิ่มอีก 2.9 แสนตัน/ปี ซึ่งปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันให้รายได้เติบโต 10-15% และจะช่วยหนุนกำไรสุทธิปี 59 ให้ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องด้วย พร้อมกันนี้ยังได้ตั้งเป้าปริมาณการขายรวมในปี 63 แตะระดับ 6 ล้านตัน แบ่งเป็นปริมาณการการขายยางมะตอย 4 ล้านตัน และปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 2 ล้านตัน โดยบริษัทมีแผนเข้าไปรุกตลาดในอีก 2 ทวีป ได้แก่ ทวีปยุโรป และอเมริกา จากปัจจุบันขายอยู่ใน 3 ทวีป คือ เอเชีย,ออสเตรเลีย และแอฟฟริกา

ทั้งนี้ บริษัทได้มองแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า (ปี 59-61) จะอยู่ระดับไม่เกิน 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งส่งผลดีต่อต้นทุนของบริษัท และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น ประกอบความต้องการยางมะตอยในตลาดโลกยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะในประเทศจีน อินเดีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าน่าจะยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องทุกปี และมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยต่อปีไม่ต่ำกว่า 10%

สำหรับในปีนี้ยังคงมั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยปริมาณการขายยางมะตอยในไตรมาส 4/58 จะทำสถิติสูงสุดใหม่จากที่เคยทำได้สูงสุดที่ 6.6-6.7 แสนตัน เนื่องจากตลาดยางมะตอยในประเทศได้รับประโยชน์จากการลงทุนอย่างมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยเฉพาะการลงทุนของกรมทางหลวงชนบท ที่มีแผนการลงทุนในการทำถนนตั้งแต่ไตรมาส 4/58 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1/59 และตลาดยางมะตอยในต่างประเทศนั้นก็มียอดคำสั่งซื้อเข้ามาล่วงหน้าแล้วถึงกลางเดือนม.ค.59 โดยปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/58 จะส่งผลให้ปริมาณการขายยางมะตอยในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 2.2 ล้านตัน เติบโต 15% จากปีก่อน แบ่งเป็นภายในประเทศ 5 แสนตัน และต่างประเทศ 1.7 ล้านตัน

"การปรับตัวเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายยางมะตอยอย่างมีนัยสำคัญ และต้นทุนของราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับที่ต่ำที่ 46 เหรียญต่อบาร์เรล ส่งผลให้กำไรสุทธิในปีนี้ของเราจะทำนิวไฮใหม่อีกครั้ง"นายชัยวัฒน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ