แม้ว่ารายได้จากการขายในงวดไตรมาส 3 ของปีนี้ จะอยู่ที่ 3,181.06 ล้านบาทลดลง 1.49% เนื่องจากราคาเหล็กที่ลดลง ซึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่บริษัทมีปริมาณการขายอยู่ 195,700 ตัน เพิ่มขึ้น 15.74% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทสามารถผลักดันยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มเหล็กทรงยาวได้เพิ่มขึ้น ทั้งจากโครงการภาครัฐและเอกชน ขณะเดียวกันบริษัทได้รับรู้กำไรพิเศษ จำนวน 938.37 ล้านบาท
"กำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทมีต้นทุนจากการขายและการให้บริการที่ลดลงหากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากวัตถุดิบที่ลดลง และประสิทธิภาพในการปรับปรุงในการผลิต นอกจากนี้บริษัทสามารถดำเนินการชำระหนี้สินกับสถาบันการเงินตามสัญญา ทำให้ต้นทุนการเงินลดลง ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นด้วย" นางสาวจุรีรัตน์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 884.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 443.47% ทั้งนี้ บริษัทมีค่าใช้จ่ายจากการขายและการบริหารที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น EBITDA สำหรับงวด 9 เดือน อยู่ที่ 1,730.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 317.22% หากพิจารณาเฉพาะผลการดำเนินงานของบริษัทมี EBITDA จำนวน 733.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.83% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA Margin 8.15% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ 5.35%