"การลงทุนภาครัฐที่จะเริ่มชัดเจนขึ้นนั้น น่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมฐานราก ที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ"นายชเนศวร์ กล่าว
ขณะที่บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการในระยะ 3-5 ปีจากนี้จะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยราว 15-20% และหากได้รับงานโครงการเมกะโปรเจ็คต์ อาจทำให้ผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมองว่าที่ผ่านมาภาครัฐลงทุนล่าช้า ทำให้ภาคเอกชนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนไปด้วย แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังของปี 59 จะเห็นความชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างรอผลประมูลงานที่ได้ยื่นเสนอไปแล้วช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นงานภาคเอกชน เช่น คอนโดมิเนียม โดยคิดเป็นมูลค่าราว 1 พันล้านบาท (ไม่รวมงานโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ) คาดว่าจะทยอยรู้ผลประมูลอย่างต่อเนื่อง และบริษัทฯคาดหวังชนะการประมูลไม่ต่ำกว่า 25% ของมูลค่างานที่ยื่นประมูล
ส่วนปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่ากำไรสุทธิจะทำสถิติสูงสุดใหม่ จากปีก่อนที่มีกำไร 195.55 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมี backlog ราว 800 ล้านบาท แบ่งเป็นงานโครงการก่อสร้างงานสาเข็มเจาะ, งานอาคารให้กับโครงการชีวาทัยบางโพ, โครงการอารียาเรสซิเดนซ์, โครงการสำนักงานใหญ่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.), โครงการ Circle สุขุมวิท 31 เป็นต้น ซึ่งจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/58 ประมาณ 280-300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีถัดไป ซึ่งน่าจะทำให้ผลประกอบการทั้งปี 58 เติบโตได้ตามคาดการณ์
ทั้งนี้ สัดส่วยรายได้ในปีนี้จะมาจากภาครัฐ 20% และภาคเอกชน 80%
"ผลประกอบการไตรมาส 3/58 ที่กำไรลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากลูกค้าได้ขอเลื่อนการทำโครงการออกไปก่อน หลังโครงการไม่ผ่าน EIA แต่เราก็ถือว่าไม่ได้เป็นปัญหามากนัก และน่าจะเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นได้ในไตรมาส 4/58 และภาพรวมทั้งปีก็ยังมั่นใจว่ากำไรสุทธิจะสามารถทำนิวไฮต่อเนื่องได้ ขณะที่ปีหน้าก็น่าจะดีกว่าปีนี้"นายชเนศวร์ กล่าว