"ปีนี้อาจจะลงทุนได้เพียง 5 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายไม่ใช่ว่าใช้ไม่หมด แต่เป็นการ phasing การลงทุนขยับออกไป"นายวิรัตน์ กล่าว
นายวิรัตน์ กล่าวว่า แผนลงทุนหลักในปีหน้ายังคงอยู่ในโครงการก่อสร้างคลังก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติหลักเส้นที่ 5 เป็นต้น และยังมองโอกาสการเข้าซื้อกิจการ โดยเฉพาะในกลุ่มสำรวจและผลิตปิโตรเลียมด้วย
ส่วนการที่รัฐบาลออกสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อจูงใจให้เอกชนเร่งการลงทุนนั้น ในส่วนของ ปตท.ก็มีการลงทุนปีละ 5-6 หมื่นล้านบาทอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการลงทุนตามแผนงานที่วางไว้ในระยะยาว แต่ก็จะพิจารณาด้วยว่าจะมีโครงการใดที่จะลงทุนเพิ่มเติมอีกหรือไม่ แม้ปัจจุบัน ปตท.จะใช้นโยบายการลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง หลังรายได้ปรับตัวลดลงจากผลกระทบราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแรง ซึ่งปีนี้ได้เริ่มดำเนินการบ้างแต่ยังลดรายจ่ายได้ไม่มากนัก
"ตอนนี้ให้ใช้โหมดลด cost ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลดลง เงินลงทุนก็ด้วย แต่ไม่ใช่การปรับ scope งาน ขนาดยังโตเท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายจะลดลง ซึ่งเราอยู่ระหว่างจัดทำแผน 5 ปีอีกครั้งก็จะเสร็จปลายปีนี้"นายวิรัตน์ กล่าว
นายวิรัตน์ คาดว่า ในไตรมาส 4/58 ผลประกอบการของบริษัทจะพลิกกลับมามีกำไร หลังจากไตรมาส 3/58 ขาดทุน เพราะคาดว่าจะไม่ต้องรับรู้การด้อยค่าสินทรัพย์จำนวนมากเหมือนในไตรมาส 3 ที่มีกว่า 3 หมื่นล้านบาทแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูราคาน้ำมันดิบช่วงสิ้นไตรมาสด้วยว่าจะปิดสูงหรือต่ำกว่าระดับปิด ณ สิ้นไตรมาส 3/58 ที่ 44.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะจะมีผลต่อกำไรหรือขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน
สำหรับผลขาดทุน 2.66 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3/58 นั้น ส่วนใหญ่เป็นการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับลดลงแรง ซึ่งเป็นภาวะปกติของบริษัทน้ำมัน ส่วนในไตรมาส 4/58 ปตท.อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ในธุรกิจถ่านหินด้วยหรือไม่ หลังราคาในตลาดโลกลดลงเช่นกัน แต่ก็ยังไม่เห็นตัวอย่างบริษัทถ่านหินรายใดตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ดังกล่าว