นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร กรรมการผู้จัดการ APM เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเตรียมความพร้อมขอยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)ของ BM ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.คาดว่าจะสามารถยื่นได้ในวันที่ 22 ธ.ค.58 เพื่อเสนอขายหุ้น IPO ราว 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท และเข้าเทรดได้ในราวไตรมาส 2/59
ปัจจุบัน BM มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 800 ล้านหุ้น และมีทุนที่ชำระแล้ว 150 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท
บริษัทเป็นผู้ผลิตแปรรูปและขึ้นรูปโลหะ อาทิ รางและท่อร้อยสายไฟฟ้า ตู้สื่อสาร ตู้ไฟฟ้า ตู้โลหะ และแผงควบคุมไฟฟ้าที่ใช้ตามอาคาร คอนโดมิเนียม สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม สถานีไฟฟ้า เป็นต้น สินค้าแบ่งเป็น 6 หมวด คือ รางและท่อร้อยสายไฟฟ้า (Metal Trunking & White Conduit) ตู้สื่อสาร ตู้ไฟฟ้าและตู้โลหะ (Racks, Cabinet & Enclosure) แผงควบคุมไฟฟ้าและโคมไฟฟ้า (Electrical Switchboard & Lighting Fixtures) โลหะเชื่อมประกอบ (Fabrication & Metal Working) เครื่องมือ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ (Tooling, Machine Tool & Equipment) และชิ้นส่วนโลหะ (Metal Part & Assembly Part)นายธานิน สัจจะบริบูรณ์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BM กล่าวว่า เป้าหมายการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้บริษัทมีภาพลักษณ์ที่เป็นมาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้าของบริษัท อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายช่องทางในการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของบริษัทให้มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
สำหรับการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 800–900 ล้านบาทตามเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากงวด 9 เดือนมีรายได้และกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีจะสามารถสร้างรายได้และกำไรให้เป็นไปตามเป้า เนื่องจากบริษัทได้รับผลดีจากรัฐบาลเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็กต์ 1.66 ล้านล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นงานโครงสร้างพื้นฐานและงานวางระบบ 4จี
ด้านนายธีรวัต อมรธาตรี กรรมการผู้จัดการ BM กล่าวว่า บริษัทมีแผนใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนกว่า 300 ล้านบาท แบ่งไปขยายโรงงานเดิม เพิ่มสายการผลิต ซื้อเครื่องจักรใหม่ ราว 120 ล้านบาท ชำระหนี้เงินกู้ 200 ล้านบาท
บริษัทมีแผนขยายสายการผลิตที่ 3 บนพื้นที่ 4,000 ตร.ม.ซื้อเครื่องจักรรองรับเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) และซื้อเครื่องจักรสำหรับสายการผลิตที่ 1 และ 2 ปัจจุบันโรงงานเดิมมีกำลังการผลิตเต็มที่ราว 1,400-1,500 ล้านบาท/ปี ซึ่งขณะนี้ใช้กำลังการผลิตราว 60-70% ซึ่งเงินที่ระดมทุนเพิ่มจะใช้เพื่อผลิตสินค้าใหม่ คาดว่าจะเพิ่มยอดขายได้อีก 150-300 ล้านบาท/ปี
"เงินที่ได้จากระดมทุนก็จะเพิ่มไลน์ผลิตสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย ชำระหนี้ ซึ่งก็จะทำให้ต้นทุนการเงินลดลง และจะทำให้อัตรากำไรสูทธิของบริษัทเพิ่มขึ้น"นายธีวัต กล่าว
สำหรับแนวโน้มปี 59 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เพิ่มเป็นกว่า 1,000 ล้านบาท จากปีนี้ 800-900 ล้านบาท ผลพวงจากงานก่อสร้างที่เติบโตขึ้นมาก รัฐบาลมีโครงการใหญ่ รวมทั้งการเติบโตในกลุ่มเครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า จึงมั่นใจว่าผลประกอบการจะทำได้ตามเป้าหมาย และกำไรสุทธิก็จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากต้นทุนราคาเหล็กยังทรงตัวในระดับต่ำที่ราว 20 บาท/กก. ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักคิดเป็น 60-70% จากต้นปีราคาเหล็กอยู่ราว 24-25 บาท/กก.
"เราได้ต้นทุนเหล็กในราคาต่ำก็จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น เพราะเราเจรจาออเดอร์ก่อนหน้าแล้ว ปี 59 อัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีนี้ เพราะราคาเหล็กยังไม่ขยับ แนวโน้มนิ่ง หลายงานเรารับออเดอร์มาแล้วทั้งกลุ่มงานระบบสื่อสาร กลุ่มเครื่องจักรกลเกษตร ชิ้นส่วนแอร์ ยอดโตตลอด รวมทั้งงานระบบสื่อสาร งานต้นแบบ 4G ที่คาดว่าปีหน้าจะได้งานมากกว่า 200 ล้านบาท สูงกว่าปีนี้ที่ได้งาน 3G อยู่แล้ว ทั้งตู้โลหะ ตู้อะลูมิเนียม เครื่องจักรเราพร้อมมาก"นายธีรวัต กล่าว
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัท มาจากรายได้ในประเทศ 97% ส่งออกทางตรงราว 2-3% (ทางอ้อมหรือลูกค้าส่งออก 15%) ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเฉลี่ยอยู่ที่ 20% อัตรากำไรสุทธิที่ 10% แต่ปี 59 คาดอัตรากำไรสุทธิจะสูงขึ้น
ส่วนผลดำเนินงานไตรมาส 3/58 บริษัทมีรายได้ 250.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.07 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.74% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 32.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.28 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 126.16% และงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.58 บริษัทมีรายได้รวม 614.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 46.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.26 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 58.21%