แนวโน้มในปีหน้า คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 53-56 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากเฉลี่ยปีนี้ที่ 50-51 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นขณะที่ปริมาณการผลิตไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ทำให้คาดว่าในปีหน้าปริมาณการผลิตในตลาดโลกจะมากกว่าความต้องการใช้ราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 2 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ ขณะที่คาดว่าค่าการกลั่นในปีหน้าจะอยู่ระดับ 7-8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลใกล้เคียงปีนี้
ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ นายพิจินต์ คาดว่าความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในปีนี้จะเติบโตราว 4-5% จากปีก่อนมาที่ระดับ 4,850 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจประเทศ และสอดคล้องกับการผลิตที่เพิ่มขึ้นของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) ด้วย ขณะที่ปตท.ก็ยังมุ่งเน้นการลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจก๊าซฯตามแผน 5 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์(NGV) ในปีนี้คาดว่าจะมีผลขาดทุนลดลงเหลือราว 1 หมื่นล้านบาท จากปีที่แล้วมีผลขาดทุนราว 2 หมื่นล้านบาท หลังรัฐบาลได้ทยอยปรับขึ้นราคา NGV มาอยู่ที่ระดับ 13.50 บาท/กิโลกรัม จากปีที่แล้วที่ 10.50 บาท/กิโลกรัม โดยในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้มีผลขาดทุนจาก NGV ราว 8.3 พันล้านบาท
ด้านธุรกิจถ่านหิน ที่ปัจจุบันปตท.มี 2 เหมืองในอินโดนีเซียนั้น คาดว่าการผลิตในปีนี้จะไม่เท่ากับปีที่แล้วที่มีการผลิตระดับ 10 ล้านตัน โดยในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้มีการผลิตระดับ 5.8 ล้านตันเท่านั้น เนื่องจากราคาถ่านหินที่ลดต่ำลงทำให้ปตท.ไม่เน้นการผลิตและการขายมากนัก แต่จะเน้นในเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายเป็นหลัก ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ค่าใช้จ่ายก็ลดลงด้วยเช่นกัน