นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดึงธุรกิจ new engine เข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ ธุรกิจประเภทอินเตอร์เน็ต และเทคโนโลยี อีกทั้งรเชื่อมโยงตลาดหุ้นสิงคโปร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อเป็นหลักในการพัฒนาตลาดอาเซียน และดึงธุรกิจใน CLMV เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย
"ผมและรัฐมตรีคลังเข้ามาเยี่ยมตลาดหลักทรัพย์ หลังจากไม่มานานพอสมควร เพื่อให้นโยบายบางอย่าง เพราะรัฐบาลจัดตั้งกรรมการพัฒนาตลาดทุน ซึ่งมีรัฐมนตรีคลังเป็นประธาน และมาเพื่อให้แนวทางบางอย่างไปสานต่อ เพราะเห็นว่าตลาดทุนไทยผ่านช่วงเวลามาหลายข่วง ตั้งแต่เปิดตลาด และตลาดก็เติบโตขึ้น เผชิญวิกฤติการณ์หลายรอบ ขณะนี้ขนาดตลาดหุ้นใหญ่พอๆกับจีดีพี ในฐานะที่ประเทศก้าวสู่อีกจุดหนึ่งในการพัฒนาประเทศ สิ่งแรกคืออยากให้ตลาดทุนสามารถสะท้อนถึงบทบาทช่วยพัฒนาประเทศ รวมทั้งหนุนการเติบโตของประเทศ"นายสมคิด กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องการให้ตลาดหลักทรัพย์ชักชวนบริษัทเอกชนไทยในกลุ่มธุรกิจใหม่ เช่น อินเตอร์เน็ตเบส เทคโนโลยีเบส เข้ามาจดทุเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อสนับนุนการเติบโตของประเทศในด้านเศรษฐกิจดิจิตอล นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอาหาร กลุ่มเมดิคัล กลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งเป็นบริษัทในต่างจังหวัดที่มีศักยภาพสูงอีกมาก จึงอยากให้ตลาดหลักทรัพย์ออกไปสรรหาและเจาะตลาดให้บริษัทเหล่านี้เข้ามาจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ (SET) และตลาด mai โดยเฉพาะตลาด mai ที่มีหน้าที่พัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอีให้แข็งแรง
"ปัจจุบัน internet base และ technology base ในภูเก็ต เชียงใหม่ แห่เข้ามาติดต่อที่กระทรวงไอซีที ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีเงินทุนน้อย อยากจะสนใจเข้ามาระดมทุน ตรงนี้เป็นโอกาสให้ new Start up เข้าถึงแหล่งระดมทุน"นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวจะเป็นโจทย์ให้ตลาดหลักทรัพย์ไปคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดการพัฒนาและเป็นประโชน์กับบริษัทท้องถิ่น เช่น ชักชวนบริษัทจดทะเบียน(บจ.)นำเงินทุนส่วนกลางไปจัดตั้งกองทุนเพื่อนำไปพัฒนาท้องถิ่น เพราะรัฐบาลมีนโยบายให้เอกชนส่วนร่วมกับรัฐบาลในการพัฒนาประเทศ ซึ่งอาจให้ บจ.ร่วมกันจัดตั้งกองทุน โดยสิทธิประโยชน์หรือมีโครงการที่ดีเข้ามาพัฒนาสนับสนุน หรืออาจหารือร่วมกับ 3 สมาคมที่ทำอยู่แล้ว โดยอยากให้บจ.ที่มีศักยภาพใน SET50 , SET100 มาร่วมกันนำร่องโครงการดังกล่าว เหมือนเป็น CSR ซึ่งจะทำให้มีกองทุนใช้จ่ายและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม
"ตลาดหลักทรัพย์ต้องเข้ามาช่วยชนบท ลดความเหลื่อมล้ำ และดึงบริษัทในประเทศเข้ามาจดทเบียนในตลาดหุ้นไทยเพื่อที่จะช่วนให้ตลาดแข็งแรงและเติบโต ...ตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่เก็งแต่เรื่องคอมมิชชั่นอย่างเดียว แต่ควรแป็นตลาดทุนเพื่อพัฒนาประเทศ ขึ้นสู่ S Curve ตัวใหม่"นายสมคิด กล่าว
นอกจากนั้น รองนายกรัฐมตรี ยังกล่าวว่า ต้องการให้ตลาดหุ้นไทยเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นอื่น โดยเฉพาะตลาดหุ้นสิงคโปร์ที่มีศักกยภาพสูง และถ้าเทียบกันระหว่างตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสิงคโปร์ก็มีศักยภาพใกล้เคียงกัน
อีกทั้งสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยเสาะแสวงหาบริษัทในต่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่ม CLMV ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย เพื่อจะได้มีสินค้าหลากหลาย กว้างขึ้น และใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันสนับสนุนให้บริษัทไทยไปลงทุนในประเทศอื่น ซึ่งปัจจุบัน GDP กลุ่มประเทศ CLMV เติบโตสูงมาก หากมีการลงทุนในประเทศเหล่านี้ไทยก็จะได้ประโยชน์ด้วย ยิ่งเมื่อเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ที่จะมีการเชื่อมโยงคมนาคม
"สิ่งเหล่านี้ทำให้ไทยไปได้ไกล หรือผลักดันให้มีการเจรจาในระดับอาเซียนซัมมิทให้เกิดการ connect ระหว่างประเทศในกลุ่ม AEC"นายสมคิด กล่าว
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ไทยเป็นศูนย์กลาง AEC จากภูมิประเทศที่ได้เปรียบประเทศอื่น ก็น่าจะมีโอกาสทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงตลาดหุ้นใน AEC โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV หากเชื่อมโยงกันได้ก็จะช่วยทำให้ตลาดทุนไทยแข็งแรงและมีพลังมากขึ้นด้วย เบื้องต้นควรจะเริ่มจากการเชื่อมกับตลาดหุ้นสิงคโปร์ก่อน
ส่วนรูปแบบการเชื่อมโยงนั้น ได้มอบหมายให้ ตลท.ไปศึกษา เช่น การซื้อขายหลักทรัพย์จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประทเศหนึ่ง เพื่อพัฒนาตลาดทุนทั้งสองแห่ง
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการตลาดทุนไทยชุดใหม่ขึ้นมาเพื่อกำหนดแผนงานในอนาคต กรรมการจะมาจากทุกภาคส่วน ได้แก่ ตลท. ,คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ กระทรวงการคลัง นอกจากนี้ ยังมี ประธานบริษัทจดทะเบียนเข้ามามีส่วนรวมสร้างแผนงานสำหรับตลาดหลักทรัพย์และตลาดทุนในอนาคต ซึ่งจะนำเสนอวาระดังกล่าวเข้าที่ประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า หรือปลาย พ.ย. นี้
ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ตลท.พร้อมจะพัฒนาตลาดทุนไทยตามนโยบาย S-Curve ของรัฐบาล เพื่อยกระดับตลาดทุนไทยเชื่อมโยงกับตลาดอาเซียน โดยในส่วนของการวางแผนพัฒนาตลาดทุน คาดว่าภายในเดือน ธ.ค.นี้ จะมีการแถลงแผนตลาดทุนไทยในอนาคตจะมีความชัดเจนมากขึ้นในรายละเอียดต่างๆ จะสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเดิม และต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมคลัสเตอร์ ที่รัฐบาลวางไว้
ส่วนการเชื่อมโยงตลาดหุ้นกับสิงคโปร์ ทางตลท.ได้กำลังศึกษาอยู่ แต่ยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยเนื้อหอมในอาเซียน โดยที่ผ่านมาพูดคุยกับฑูตสิงคโปร์ แต่ขอเช็ครายะอียด นอกจากนี้ เรื่องเร่งด่วนคือการทำให้ตลาดหลักทรัพย์สนองตอบในวงเกว้าง ในเรื่องการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้มากกว่านี้