โดยประเมินว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวขึ้นในอนาคต หลังจากที่ราคาน่าจะทำระดับต่ำสุดในปีนี้ แต่ยังต้องจับตาเรื่องการที่อิหร่านจะกลับมาส่งออกน้ำมันซึ่งคาดว่าจะมีเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1/59 ขณะที่สต็อกน้ำมันตลาดโลกน่าจะปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาส 3/59 และสหรัฐจะมีการเลือกตั้งในช่วงปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าการณ์ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดิบและสำเร็จรูปอาจจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยในปีนี้ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง เพราะด้วยระดับราคาน้ำมันที่ต่ำทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันสำเร็จรูปยังคงเติบโตมาก โดยเฉพาะในตลาดน้ำมันเบนซิน
"ค่าการกลั่นปีหน้ายังนับว่าอยู่ในระดับสูง แต่คงไม่ดีเท่ากับปีนี้"นายพิเชษฐ์ กล่าว
นายพิเชษฐ์ คาดว่าค่าการกลั่นพื้นฐานในช่วงไตรมาส 4/58 จะอยู่ที่ราว 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากกว่า 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันนับว่าอยู่ในระดับต่ำกว่า 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสต็อกน้ำมันบ้างในช่วงปลายไตรมาส ขณะที่คาดว่าในไตรมาสสุดท้ายนี้จะกลั่นน้ำมันเฉลี่ย 1.12-1.13 แสนบาร์เรล/วัน ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/58
ด้านนายสุรชัย โฆษิตเสรีวงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานด้านบัญชีและการเงิน BCP กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะขยายสถานีบริการน้ำมันของบางจากอย่างต่อเนื่อง โดยในปีหน้าวางเป้าหมายจะขยายสถานีบริการน้ำมันมาตรฐาน อีก 40 แห่งใช้เงินลงทุนราว 1.6 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้สถานีบริการน้ำมันโดยรวมเพิ่มเป็น 1,070 แห่ง จากปัจจุบันที่ 1,050 แห่ง เนื่องจากมีการปิดสถานีบริการที่ไม่มีความเหมาะสมไปบ้าง
เนื่องจากการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการของบางจาก นับว่าสร้างมาร์จิ้นได้ดีกว่าการขายผ่านช่องทางอื่น และในช่วงไตรมาส 3/58 สามารถทำยอดขายได้เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมากกว่าอุตสาหกรรมที่ขยายตัว 7% โดยปัจจุบันบางจากมีส่วนแบ่งตลาดที่ระดับ 15% เป็นอันดับ 2 ของตลาด รองจากอันดับ 1 ที่อยู่ระดับ 37%
ทางด้านการลงทุนบริษัทยังคงมีการขยายการลงทุนต่อเนื่อง โดยในส่วนของแผนการเพิ่มประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อขยายกำลังการกลั่นเป็นระดับ 1.3-1.4 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่มีกำลังการกลั่นเต็มที่ 1.2 แสนบาร์เรล/วันนั้น คาดว่าจะใช้เวลา 3-4 ปี เพื่อรองรับการขายที่เพิ่มขึ้น โดยงบที่จะใช้ลงทุนตั้งแต่วันนี้จนถึงปี 61 อยู่ที่ราว 1 หมื่นล้านบาท ส่วนจะสามารถกลั่นน้ำมันได้มากน้อยระดับไหนยังต้องพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง แต่เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มการกลั่นได้ไม่ต่ำกว่า 10% จากปัจจุบัน
สำหรับในส่วนของการขยายกำลังการผลิตโรงงานไบโอดีเซล แห่งที่ 2 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 8.1 แสนลิตร/วันนั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางถึงปลายปี 59 จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ระดับ 3.6 แสนลิตร/วัน
นายสุรชัย กล่าวว่า ส่วนธุรกิจไฟฟ้าบริษัทยังเดินหน้าที่จะนำหุ้นบริษัท บีซีพีจี จำกัด (BPCG) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะยื่นแบบเสนอขายหุ้น (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ในครึ่งแรกปี 59 และคาดว่าจะกระจายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ในราวปลายไตรมาส 3/58 โดยยังคงมีเป้าหมายที่จะมองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์(โซลาร์ฟาร์ม)อยู่ 118 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเพิ่มอีกราว 200 เมกะวัตต์ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
โดยในประเทศนั้น ได้ร่วมกับกลุ่มสหกรณ์เข้ายื่นเสนอขายไฟฟ้าตามโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการ และสหกรณ์ภาคการเกษตร ซึ่งคาดหวังว่าจะได้งานอย่างน้อย 20-30 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกันก็ให้ความสนใจลงทุนโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น ร่วมกับกลุ่มบมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) อีกราว 50-60 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอดูความชัดเจนของโครงการและการได้รับใบอนุญาต โดยคาดว่าอาจจะมีการลงทุนภายใน 1-2 เดือนแต่หากไม่ทันก็ขยับเวลาออกไป
นอกจากนี้ยังให้ความสนใจโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ในประเทศใกล้เคียง และการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ซึ่งล่าสุดคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาอนุมัติในหลักการและให้กลับไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมก่อนนำกลับเข้ามาเสนอใหม่อีกครั้ง โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือสูงถึง 1.2-1.4 หมื่นล้านบาทซึ่งเพียงพอที่จะใช้ในการลงทุนต่างๆในปีหน้าด้วย
สำหรับผลดำเนินงานในปีนี้มั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้จะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) ที่ระดับ 10,472 ล้านบาท หลังในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้สามารถทำ EBITDA ได้แล้ว 9,681 ล้านบาท