นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ TKN เปิดเผยว่า การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากบริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและสร้างให้ ‘เถ้าแก่น้อย’ ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ผู้นำระดับเอเชียภายใน 5 ปี และก้าวสู่การเป็นโกลบอลแบรนด์ภายใน 10 ปี โดยปัจจุบันเถ้าแก่น้อยเป็นผู้นำขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายอันดับ 1 ในไทยมาแล้วกว่า 10 ปี ด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึง 62% และส่งออกสินค้าไปจำหน่าย 35 ประเทศทั่วโลก
บริษัทวางแผนระดมทุนด้วยการเสนอขาย IPO ให้กับนักลงทุนสถาบันและรายย่อย จำนวน 360 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นหุ้นใหม่ทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 4.00 บาท โดยมีแผนนำเงินไปใช้ขยายกิจการ ทั้งการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ เพื่อรองรับยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศที่มีอัตรากำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง การซื้อเครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในการผลิต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยคาดว่าโรงงานแห่งใหม่จะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงปลายปี 59
ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายของ TKN กล่าวว่า มีความมั่นใจว่าหุ้นเพิ่มทุนของเถ้าแก่น้อยจะได้รับการตอบรับอย่างสูงจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อย เนื่องจากความสามารถของคณะผู้บริหารและคณะกรรมการของเถ้าแก่น้อย ผลิตภัณฑ์ตราเถ้าแก่น้อยที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โรงงานที่มีมาตรฐานสากลและระบบการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้เถ้าแก่น้อยเติบโตอย่างโดดเด่นมากกว่าบริษัทอื่นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้วของเถ้าแก่น้อย จากเดิมที่ 255 ล้านบาท เป็น 345 ล้านบาท โดยเป็นการเพิ่มทุนจำนวน 90 ล้านบาท หรือคิดเป็น 360 ล้านหุ้น ที่ราคาพาร์หุ้นละ 0.25 บาท ราคาเสนอขายอยู่ที่ 4.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสม และให้ส่วนลดถึง 48% เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วน P/E เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของบริษัทจดทะเบียนที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่ใกล้เคียงกับเถ้าแก่น้อยและอยู่ในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
ทั้งนี้ เถ้าแก่น้อย จะระดมทุนได้ 1,440 ล้านบาท โดยจองซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 25-27 พ.ย.นี้ โดยบล.เอเซียพลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย และมีผู้จัดจำหน่ายอีก 5 แห่งคือ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ,บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ,บล.ฟินันเซีย ไซรัส ,บล.เคที ซีมิโก้ จำกัด และบล.ทรีนิตี้
TKN มีผลการดำเนินงานที่เติบโตโดดเด่น โดยล่าสุด ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ม.ค.-ก.ย.58 มีรายได้จากการจำหน่าย 2,519 ล้านบาท เติบโต 35% และมีกำไรสุทธิ 245 ล้านบาท เติบโตขึ้น 128% จากช่วง 9 เดือนแรกของปีก่อน ในขณะที่ปี 57 มีรายได้จากการจำหน่ายรวม 2,695 ล้านบาท กำไรสุทธิ 199 ล้านบาท และปี 56 มีรายได้จากการจำหน่ายรวม 2,716 ล้านบาท กำไรสุทธิ 128 ล้านบาท