ทั้งนี้ ประเมินว่าการเติบโตของผลการดำเนินงานในปีนี้ มีปัจจัยมาจากการรุกขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับอุตสาหกรรม (iCNG) เพื่อป้อนให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ตามแนวนอกท่อก๊าซหลักของบมจ.ปตท.(PTT) ซึ่งมีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด หลังจากได้เริ่มขยายธุรกิจดังกล่าวเมื่อเดือนเมษายนปีนี้ โดยภายในสิ้นปี 58 จะมีปริมาณการขนส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เฉลี่ยวันละ 3,500-4,000 ล้านบีทียู
นอกจากนี้ ยังมีกำไรที่เพิ่มขึ้นจากโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติอัด ที่อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี หลังได้ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 20% จากเดิม 541 ล้านตันต่อวัน เป็น 643 ล้านตันต่อวันและขยายกำลังการผลิตสถานีบริการ NGV บนแนวท่อที่สามโคก จาก 73 ตันต่อวันเป็น 146 ตันต่อวัน
ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังรับรู้รายได้จากการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ลดแรงดันก๊าซธรรมชาติอัด (PRS) และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ที่คิดค้นโดยบริษัทฯ และได้รับการจดสิทธิบัตรรวมถึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นนวัตกรรมแห่งชาติด้านพลังงาน จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปยังประเทศเวียดนาม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นรุกขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติไปยังตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ซึ่งจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง นายฤทธี กล่าวว่า ในไตรมาส 4 ปีนี้ บริษัทฯ ยังได้ขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติ โดยได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานตรวจเช็คคุณภาพถังก๊าซ NGV ที่อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าและผู้ประกอบการรถขนส่งก๊าซ NGV ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 1,000 คันและรถที่ใช้ก๊าซ NGV ในประเทศไทยกว่า 700,000 คัน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีโรงงานตรวจเช็คคุณภาพถังก๊าซ NGV ให้ได้มาตรฐานตามข้อบังคับมาตรฐานโลก ตามที่กรมการขนส่งทางบกได้ใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งล่าสุด ปตท. ได้ตกลงให้ SCN ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพถังก๊าซ NGV ลอตแรกจำนวน 70 หางรถบรรทุก ทำรายได้ให้แก่ SCN ประมาณ 15 ล้านบาท
"ภาพรวมในปีนี้ ธุรกิจมีการเติบโตที่ดีจากการขยายกำลังการผลิตในธุรกิจเดิม นอกจากนี้ยังมีการขยายธุรกิจไปยัง CLMV และแตกไลน์ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง เช่น iCNG และโรงงานทดสอบคุณภาพถัง NGV ที่ให้กำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งช่วยผลักดันเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน"นายฤทธี กล่าว