ส่วนกำไรสุทธิที่เติบโตในปีนี้ เป็นผลจากการรับรู้รายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้าที่มีมาร์จิ้นสูง โดยคาดแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/58 จะดีกว่าไตรมาส 3/58 เพราะในไตรมาส 3 มีการลงทุนจำนวนมาก ทั้งการลงทุนเครื่องจักร และบุคคลากร ทำให้ความสามารถในการทำกำไรลดลงกว่าที่คาดการณ์ แต่อย่างไรก็ตามด้วยผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น บริษัทฯก็มีแผนที่จะจ่ายปันผล คาดว่าจะสรุปนโยบายดังกล่าวได้ในช่วงปลายปี 58 ซึ่งการจ่ายปันผลนี้จะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี จากปัจจุบันมีกำไรสะสมอยู่ที่ 22.8 ล้านบาท
"เรามองการเติบโตในปีหน้าว่าคงจะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด จากโครงการต่างๆที่เราได้ดำเนินการอยุ่ และโครงการที่จะดำเนินการเพิ่ม เช่น โรงไฟฟ้าขยะ ที่ถือว่าให้มาร์จิ้นสูงพอสมควร ส่วนปีนี้ก็เป็นปีที่เรามีกำไรสุทธินิวไฮ โดยปีนี้สัดส่วนรายได้กว่า 90% มาจากธุรกิจพลังงาน ซึ่งประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม โรงไฟฟ้าขยะ และโรงไฟฟ้าไบโอแมส และส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจ ICT"นายภูษณ กล่าว
นายภูษณ กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุน 2 ปี (ปี 59-60) ราว 4,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการผลิตเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ในพื้นที่ภาคใต้ ,Singkhon power resale to myanmar ,ต่อเติมโรงไฟฟ้าที่หาดใหญ่ ,โครงการไบโอแก๊ส หาดใหญ่-ระยอง ,โครงการผลิตเชื้อเพลิงขยะ นครราชสีมา,โครงการไบโอแก๊ส กำแพงเพชร ,โรงไฟฟ้าขยะ อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ,โครงการเอทานอล ที่ระยอง และโครงการไบโอแมส ที่สระแก้ว 2 โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงิน ,การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นรายเดิม (RO) ที่คาดว่าจะเสนอขายได้ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.59 หวังได้เงินราว 542 ล้านบาท และการขายหุ้นในบริษัทในเครือบางโครงการให้แก่พันธมิตรร่วมทุน เป็นต้น
สำหรับการขายหุ้นให้แก่บริษัทอื่น เข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมทุน ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 2 บริษัท โดยได้มีการเปิดเผยกับนักลงทุนว่าเป็น บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) และบมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงเดือนม.ค-ก.พ.59 มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินมาขยายโครงการต่อเนื่องในอนาคต ขณะที่ก็มองว่าพันธมิตรที่จะเข้ามาถือหุ้น ถือว่าที่มีศักยภาพในการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์อย่างมาก อีกทั้งในปี 59 บริษัทฯ มีแผนที่จะรวมพาร์ จากปัจุบันราคาพาร์อยู่ที่ 0.01 บาทต่อหุ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้น โดยจะมีการพิจารณาหลังการประชุมผู้ถือหุ้น ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 ธ.ค .58
นอกจากนี้ปีหน้าบริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดโอกาสให้บริษัทอื่นที่มีความสนใจ ได้เข้ามาถือหุ้นใน IEC เพื่อเพิ่มความสามารถในการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ โดยคาดหวังผู้ถือหุ้นใหม่จะมีสัดส่วนการถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 20% โดยปัจจุบันทั้งกลุ่มถือรวมกันประมาณ 10% และยังมีหุ้นที่ถือผ่านบุคคลอื่นๆอีก ซึ่งจะรวมเป็น 30% ทำให้แม้ว่าจะมีการขายหุ้นบางส่วนแต่ยืนยันได้ว่าบริษัทฯยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจในการบริหาร