ทั้งนี้ ศาลฯ ระบุว่าวิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งโจทก์และจำเลยแล้ว ปรากฎว่า มีการลงข้อความตามคำฟ้องเผยแพร่ในหน้าเว็บเพจเฟสบุ๊คของจำเลยที่ 3 และในหน้าเว็บไซด์ของจำเลยที่ 1, 2,4 และจำเลย 5 ดังกล่าวมาลงโฆษณาในเว็บไซด์ของจำเลยที่ 1, 2 และจำเลยที่ 3-8 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1, 2, 9แ ละจำเลย 10 เป็นบรรณาธิการข่าวออนไลน์มีหน้าที่ตรวจสอบเนื้อหาและข้อความข่าวก่อนลงโฆษณา จึงถือได้ว่าจำเลยทั้ง 10 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำตามคำฟ้องของโจทก์
จำเลยที่ 1 ได้แก่ บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG), จำเลยที่ 2 บริษัท กรุงเทพธุรกิจ มีเดีย จำกัด, จำเลยที่ 3 นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ, จำเลยที่ 4 น.ส.ดวงกมล โชตะนา, จำเลยที่ 5 นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น, จำเลยที่ 6 นายเสริมสิน สมะลาภา, จำเลยที่ 7 นายพนา จันทรวิโรจน์, จำเลยที่ 8 น.ส.ณัฐวรา แสงวารินทร์, จำเลยที่ 9 นายจักรกฤษ เพิ่มพูน และ จำเลยที่ 10 นายนิติราษฎร์ บุญโย
คำฟ้องระบุว่า จำเลยทั้ง 10 กล่าวหาว่า NEWS หรือเดิมชื่อ บมจ.โซลูชั่นคอนเนอร์ (1998) (SLC) เป็นตัวแทนเชิดของกลุ่มชินวัตร หวังจะเข้าบริหารสื่อทีวีดิจิตอลและควบคุมสื่อไว้ในมือเพื่อต้องการควบคุมทิศทางข่าว สังคม ให้เป็นไปในแนวทางที่ต้องการโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง คุณธรรม จริยธรรม มีแหล่งที่มาของเงินที่น่าสงสัย เป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดและมีกรรมการหรือตัวแทนของเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อหาแหล่งทุนมาซื้อสื่อ เพื่อต้องการปิดกั้นสื่อและชี้นำสังคมให้เป็นไปใน ทิศทางที่ต้องการ เป็นผู้ปั่นหุ้น เป็นการกระทำความผิดทางอาญาและเป็นความผิดอาญาทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรง และมีการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์และการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายจำนวน 2,343,005,267.90 บาท