ทั้งนี้ บริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจโรงแรม 96% และส่วนเหลืออีก 4% มาจากธุรกิจเช่าโดยค่าเช่ามาศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค๊อก
นอกจากนั้น บริษัทยังตั้งงบลงทุนในปีหน้าราว 1.7 พันล้านบาท โดยจะใช้ในลงทุนโรงแรมระดับ Budget ภายใต้แบรนด์ HOPP INN ในไทย 10 แห่ง จำนวน 790 ห้องพัก มูลค่าลงทุน 600-700 ล้านบาท และจะขยายโรงแรม HOPP INN ในฟิลิปปินส์อีก 1 แห่ง จำนวน 160 ห้อง มูลค่า 150-200 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดให้บริการได้ในช่วงเดือน ธ.ค.59 ส่วนเงินที่เหลือจะใช้ในการปรับปรุงโรมแรมที่มีอยู่เดิม
บริษัทคาดว่าในปี 59 จะมีจำนวนโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็น 44 แห่ง จากปีนี้ 33 แห่ง และมีจำนวนห้องพักเพิ่มเป็น 6,634 ห้อง จากปีนี้ 5,684 ห้อง โดยตั้งเป้าภายในปี 63 จะมีโรงแรมภายใต้แบรนด์ HOPP INN ในฟิลิปปินส์เพิ่มเป็น 16 แห่ง ซึ่งแผนดังกล่าวเป็นการขยายไปต่างประเทศครั้งแรกของบริษัท อีกทั้งในยังอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนธุรกิจโรงแรมในอินโดนีเซีย แต่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้ เนื่องจากมองว่าโอกาสการเติบโตยังไม่เท่ากับฟิลิปปินส์
นางสาวกันยะรัตน์ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ในปี 59 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากยังไม่ได้มีการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) โดยการจัดตั้งกอง REIT บริษัทจะนำงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ไปจ่ายปันผล ชำระคืนหนี้ และเป็นเงินลงทุนในอนาคต
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/58 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีทีสุดของปีนี้ทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจท่องเที่ยว ประกอบกับสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศกลับมาสู่ภาวะปกติ ทำให้ไม่มีปัจจัยที่น่ากังวล โดยจะเห็นได้จากอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OCC) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 ถึงปัจจุบันอยู่ที่ 73% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายทั้งปีของปีนี้