ในส่วนของรายได้รวมปีนี้ยอมรับว่าพลาดเป้าจากเดิมคาดว่าจะเติบโตราว 10% จากปีก่อนรายได้ 4.4 หมื่นล้านบาท แต่ปัจจุบันคาดว่าจะเติบโตราว 0-5% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในไตรมาส 4/58 เดือน ต.ค.ซึ่งขณะนี้รอดูสถานการณ์ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. พร้อมกับประเมินต่อเนื่องไปถึงปี 59 ด้วย แต่เชื่อว่ากำลังซื้อน่าจะกลับมา หลังจากเริ่มสัมผัสสัญญาณที่ดีบ้างแล้ว แต่คาดว่าจะเห็นชัดเจนในไตรมาส 1/59
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าซื้อกิจการในต่างประเทศต่อเนื่อง โดยมองโอกาสในประเทศเพื่อนบ้านทั้งกัมพูชา ลาว และเวียดนาม โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก ซึ่งขณะนี้มีดีลที่อยู่ระหว่างการเจรจามากกว่า 10 ดีล ส่วนพม่ายังไม่อยู่ในความสนใจมากนัก รวมทั้งในประเทศที่ตลาดปีนี้ยังทรงตัว ในส่วนของเงินทุนบริษัทมีความพร้อมมาก เนื่องจากมีหนี้สินต่อทุน(D/E)เพียง 0.77 เท่า สามารถก่อหนี้เพิ่มได้อีกมาก
"เรามีฐานทุนมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท ต้นทุนทางการเงินก็ถูก เพราะเรามีวินัยทางการเงิน เราเตรียมพร้อมถ้าจะขยายธุรกิจขนาดใหญ่ หน้าตักก็พร้อม"นายอัศวิน กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าใน 3-5 ปีข้างหน้าจะมีรายได้จากธรกิจในต่างประเทศเพิ่มเป็น 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% โดยที่ผ่านมามีรายได้ปีละ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 80% เป็นในประเทศ ดังนั้น การเพิ่มยอดขายต่างประเทศอีก 4 หมื่นล้านบาท ต้องควบรวมกิจการเป็นสำคัญ โดยขณะนี้ยอดขายต่างประเทศส่วนใหญ่มาจากเวียดนามที่ปีนี้เติบโตถึง 13% และมองว่ายังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
"แนวโน้มไตรมาส 1/59 กำลังเฝ้าดูพ.ย.-ธ.ค.-ม.ค.-ก.พ.-มี.ค.อยู่ แต่ดูต่างประเทศน่าจะโตกว่านี้ แต่ใน 3-4 ปีนี้เราจะมุ่งเน้นยอดขายโตในกลุ่มธรกิจในเวียดนามเป็นบวกทั้งหมดแล้ว ปี 59 เห็นการซื้อกิจการเพิ่มแน่นอน เพื่อไปให้ถึงเป้ายอดขายต่างประเทศ 50% ใน 3-5 ปีข้างหน้า"นายอัศวิน กล่าว
สำหรับดีลซื้อกิจการ เมโทรเวียดนาม คาดว่าบริษัทในเครือจะสรุปได้ไตรมาส 1/59 หลังจากนั้น BJC จะเข้าไปรับบริหารกิจการ นอกจากนี้ ในช่วงกลางปี 59 บริษัทจะเริ่มสายการผลิตกระป๋องแบบยาว ซึ่งจะทำให้ยอดขายกระป๋องเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักในปีหน้า