(เพิ่มเติม) "เกศรา"ยันบจ.ไทยแกร่งรับมือศก.ผันผวนได้,บล.ภัทร แนะเก็บหุ้นไทยพื้นฐานระยะยาวดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 2, 2015 16:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า งาน Thailand Focus 2015 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Opportunity Growth Reform"นับเป็นเวทีสำคัญที่จะแสดงถึงศักยภาพและโอกาสการลงทุนในไทยให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก ซึ่งปีนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนเกือบ 400 รายเข้าร่วมงาน โดยปีนี้มีบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ร่วมนำเสนอข้อมูลถึง 120 บริษัท จากทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกันถึง 8.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 66% ของมูลค่ารวมของตลาด

แม้เศรษฐกิจของทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาจะมีความผันผวน แต่ บจ.ไทยยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระดับภูมิภาค ขณะที่ได้รับแรงผลักดันจากนโยบายเศรษฐกิจในประเทศที่มีความชัดเจนมากขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในด้านการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ดังนั้น จึงทำให้ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกจะสามารถวางแผนการลงทุนในปีต่อไปได้

สำหรับเหตุที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีนั้น เป็นเพราะเห็นว่าในตลาดเกิดใหม่ยังไม่ค่อย perform ดังนั้น เงินจึงกลับไปสหรัฐอเมริกา และถ้าเปรียบเทียบในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.ปีนี้ จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิในตลาดหุ้นอื่นๆ มากกว่าตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นไต้หวัน เกาหลี อินเดีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่วันนี้ผู้ลงทุนจะ selective buy ในแต่ละหุ้น เพราะถ้าดูในภาพรวมทั้งหมดแล้ว ตลาดเกิดใหม่ไม่ได้เหนือไปกว่าตลาดของประเทศที่พัฒนาแล้ว

“เราจะเห็นว่าในตลาดหุ้นไทย มี sector ใหม่ๆ เข้ามา มีความน่าสนใจจากผู้ลงทุนต่างประเทศ หรือแม้แต่ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศก็ตามที่จะเข้ามาดูรายตัว จึงเป็นโอกาสของหุ้นแต่ละตัวที่ perform ดีส่วนจะกลับมาเมื่อไหร่นั้น พอเป็น selective buy และเป็นหุ้นบางตัวนั้น จำนวนอาจจะเห็นไม่เด่นชัด ว่าจะเห็นเป็น net buy ถ้าเราจะดูผลประกอบการทั้งตลาดนั้นในไตรมาส 3 ยังไม่ค่อยดี เพราะเรายังมีเรื่องราคาน้ำมันมากดดัน แต่เชื่อว่าสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาทั้งหมดจะเริ่มเห็นผลในปีหน้า" นางเกศรา กล่าว

ด้าน น.ส.อรกัญญา พิบูลธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ สาขาประเทศไทย ธนาคารแห่งอเมริกา เมอร์ริล ลินซ์ กล่าวว่า นักลงทุนต่างประเทศยังมั่นใจในโครงสร้างพื้นฐานของไทย และศักยภาพของประเทศไทยในระยะยาว จึงมองว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุน แม้จะมีผลกระทบระยะยาวจากความผันผวนทางเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลมีการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ รวมทั้งการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเชื่อมั่นว่าการลงทุนจะเข้ามายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องทั้งการลงทุนทางตรง และการลงทุนของกองทุนต่างๆ

ทั้งนี้ ธนาคารฯเองก็เห็นการเติบโตที่ดีของเศรษฐกิจไทยเช่นกันจากในไตรมาส 3 ของปีนี้ที่ภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐขยายตัวได้เป็นที่น่าพอใจ จะมีเพียงแค่ภาคการส่งออกที่ยังคงติดลบเท่านั้น ซึ่งธนาคารฯ คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.9% ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวได้ 3%

สำหรับสิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญและนำไปพิจารณาเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย มาจาก 3 ส่วนสำคัญ คือ 1.การลงทุนภาครัฐ ซึ่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนตามมา และช่วยเพิ่มปริมาณการค้าการลงทุนในด้านอื่นๆ ด้วย 2.ด้านการท่องเที่ยว ที่ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณทีดีขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่แยกราชประสงค์ซึ่งทำให้ทัวร์จีนชะลอการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยไปบ้าง 3.การเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ซึ่งมีผลกระทบที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน

ขณะที่นายกฤติยา วีรบุรุษ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.ภัทร กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการภาษี การส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตร และการสร้างมูลค่าให้แก่ภาคการเกษตร ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยทำให้ประเทศไทยกลับมาอยู่ในลำดับต้นๆ ของอาเซียนที่นักลงทุนต่างชาติจะให้ความสนใจเข้ามาลงทุน

ทั้งนี้ คาดว่าในปีหน้า earning growth ของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตได้ 10% และตลาดหุ้นไทยยังเป็นที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติแม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากประเทศไทยได้รับปัจจัยบวกจาก 2 กระแสความเปลี่ยนแปลงหลักในทศวรรษหน้า ได้แก่ 1. ความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิตอลที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวด้านโทรคมนาคมและการสื่อสารให้เอื้อต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้การลงทุนโดยรวมและการบริโภคขยายตัวอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง และ 2. กระแสการรวมกลุ่มของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง(GMS) ซึ่งจะส่งผลดีต่อการค้า การลงทุน และการบริโภคต่อเนื่องไปอีกหลายสิบปี และทำให้ไทยซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในยุทธศาสตร์สำคัญของ GMS เป็นที่น่าสนใจของผู้ลงทุนทั่วโลก

“ปีหน้า คาดว่า earning growth โต 10% ...นักลงทุนไทยควรเลือกเก็บหุ้นที่มีพื้นฐานดี เพราะพื้นฐานระยะยาวของไทยยังดี มีการเติบโตในในภูมิภาค มาตรการด้านการคลัง และความยืดหยุ่นของธปท.ที่จะใช้นโยบายการเงิน ถือว่าเรามีโช๊คอัพดี แต่อาจจะเคลื่อนไม่ค่อยดี เราสามารถรับความผันผวนได้ แต่อาจยังวิ่งไม่ค่อยแข็งแรงนัก" นายกฤติยา กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ