ปัจจุบัน บริษัทมีงาน FA การเสนอขาย IPO และการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อนักลงทุนทั่วไปครั้งแรก(PP) รวมกันราว 7-9 ดีล และมีดีล FA และการเข้าซื้อกิจการ (M&A) รวมกันราว 7-9 ดีล
"ปัจจัยที่ขับเคลื่อนผลการดำเนินงานในปี 59 จะมาจากงานด้านวาณิชธนกิจ (IB) เป็นหลัก ซึ่งบริษัทจะรุกงานด้านนี้มากขึ้นในปีหน้า อีกทั้งงาน IB เป็นงานที่มีมาร์จิ้นสูง และส่งผลให้อัตรากำไรสุทิของบริษัทในปี 59 มีโอกาสกลับมาแตะที่ระดับ 22% ลังจากปีนี้ปรับลดมาอยู่ที่ 20%"นายวิศิษฐ์ กล่าว
บริษัทยังตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ในปี 59 รักษาระดับอยู่ที่ 2-2.5% จากปีนี้ที่คาดว่าอยู่ที่ราว 2% โดย 9 เดือนที่ผ่านมานั้นบริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ 2.08% โดยยังคงเน้นการจัดสัมมนาให้กับลูกค้าเพื่อเป็นการเสริมความรู้และแนะนำการลงทุน แม้ว่าอัตราการคิดค่าธรรมเนียม(คอมมิชชั่น)ของบริษัทจะถือว่าอยู่ในระดับสูงที่ 0.15% แต่ก็ไม่มีแผนจะลดอัตราลง เพราะจะเน้นคุณภาพของการให้บริการ และการออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การลงทุนของลูกค้าให้ได้รับผลตอบแทนที่
อนึ่ง บริษัทมีบัญชีลูกค้าอยู่ 20,000 ราย เป็นบัญชีที่มีความเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ(Active)อยู่ 8,000 ราย ลูกค้า Hi network 400 ราย และที่เหลือเป็นลุกค้าประเภทอื่นๆ
ในด้านสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ(AUM)ของบริษัทในปี 60 ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 5 พันล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.423 พันล้านบาท โดยบริษัทจะพยายามขยายฐานลูกค้าให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำส่งผลให้ลุกค้าหันมาลงทุนในกองทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายขนาด AUM อีกทั้งในปีหน้าคาดว่าผลตอบแทนในการบริหารจัดการสินทรัพย์ให้กับลูกค้าจะกลับมาเป็นบวกได้ จากปีนี้ติดลบ 3% แต่ก็ถือว่าติดลบน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
“ปกติบริษัทเราให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 15% ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนน้อย แต่ในปีนี้ตลาดมีความผันผวนอย่างมาก จากเรื่องขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯและปัจจัยเศรษบกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้ผลตอบแทนติดลบที่ 3% แต่ก็ยังถือว่าติดลบน้อยกว่าตลาด"นายวิศิษฐ์ กล่าว
นอกจากนั้น บริษัทยังประเมินว่าปริมาณการซื้อขาย(วอลุ่ม)ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 59 จะเพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่นล้านบาท/วัน จากปีนี้ที่อยู่ที่ราว 4 หมื่นล้านบาท/วัน โดยช่วงปลายปีนี้กระแสเงินยังจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ไปสู่ตลาดสหรัฐฯ หลังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.
ขณะที่มองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,100-1,530 จุด โดยปัจจัยหนุนยังประเด็นด้านเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น หลังจากโครงการลงทุนต่างๆของภาครัฐเริ่มต้นขึ้นอย่างชัดเจนในปีหน้า ทำให้มีเงินสะพัดในระบบเพิ่มขึ้น ส่งผลไปถึงการลงทุนภาคเอกชนและรายได้ของภาคครัวเรือนมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามมาในอีก 1-2 ปีข้างหน้า