ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนในปีหน้าราว 200-300 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเตาหลอม และเครื่องจักรเหล็กลวด (Wire rod) ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตเหล็กได้รวดเร็วขึ้น อีกทั้งยังเป็นการประหยัดต้นทุนและระยะเวลาในการทำงานอีกด้วย ทำให้ส่งผลดีต่อตัวมาร์จิ้นที่จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนพัฒนาธุรกิจเพื่อจะก้าวสู่การเป็นธุรกิจเกือบครบวงจร โดยในอนาคตอันใกล้นี้ บริษัทจะดำเนินธุรกิจใน 3 ส่วน คือ 1.ธุรกิจผลิตเหล็ก ทั้งในส่วนเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ และคาร์บอนสูง ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์ และขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยมีความสนใจเมียนมาร์ ลาว เวียดนาม เป็นต้น
นางสาวจุรีรัตน์ คาดว่า ในปีหน้าจะเห็นการรุกเข้าไปในเมียนมาร์ โดยจะนำเหล็กรูปพรรณเข้าไปจำหน่ายให้แก่งานโครงการขนาดเล็ก ซึ่งน่าจะส่งผลต่อกำลังการผลิตน่าจะเพิ่มขึ้น หรือมีกำลังการผลิตประมาณ 3-4 หมื่นตันของกำลังการผลิตโดยรวม
2. บริษัทมีความสนใจที่จะขยายธุรกิจไปสู่การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องจักรที่ทำจากเหล็ก Wire rod โดยจะมีการพัฒนาร่วมกับพันธมิตร คาดว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจะสามารถเข้าไปในอุตสาหกรรมดังกล่าวได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อมาร์จิ้นให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
3.การเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 27 เมกะวัตต์ (MW) เบื้องต้นคาดว่าจะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 30-40% ซึ่งเป็นโครงการที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบแล้ว และรับค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม(Adder) ที่ 6.50 บาท/หน่วย เป็นระยะเวลา 10 ปี น่าจะสามารถสรุปการลงทุนได้ช่วงต้นปี 59 และเชื่อว่าจะสร้างกำไรเข้ามาราว 50-60 ล้านบาท/ปี ตามสัดส่วนการเข้าถือหุ้น
นางสาวจุรีรัตน์ กล่าวว่า ในปี 63 สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ราว 50 % และอีกกว่า 40% จะมาจาการขายวัสดุก่อสร้าง ส่วนที่เหลือจะเป็นการรับรู้กำไรจากธุรกิจโรงไฟฟ้า
สำหรับผลการดำเนินงานปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะพลิกมีกำไรสุทธิแน่นอน จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 998.68 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไรแล้ว 885.90 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการขายต่อไตรมาสเพิ่มขึ้น และคาดว่าไตรมาส 4/58 จะดีกว่าไตรมาส 3/58 ด้วย เนื่องจากยังมีความต้องการเหล็กในประเทศอยู่มาก
ประกอบกับบริษัทมีการลงทุนในเครื่องจักรไปแล้วในช่วงที่ผ่านมาทำให้สามารถรับงานได้มากขึ้นด้วย รวมถึงในปีนี้ยังมีกำไรพิเศษจาการขายที่ดินจำนวน 175 ไร่ ให้กับบมจ.เจนเนอรัล เอ็นจิเนียริ่ง (GEL)
แนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ทำให้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นหลังจากปีที่ผ่านมางดจ่ายปันผลหลังผลการดำเนินงานขาดทุน โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลของงบการเงินเฉพาะ และหลังหักสำรองตามกฎหมาย และเงินสะสมอื่นๆ ตามที่บริษัทกำหนด
ส่วนความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง(PP)นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับหลายรายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมีความต้องการผู้ซื้อหุ้น PP เพียง 1-2 รายและต้องการให้เป็นนักลงทุนสถาบัน ที่สามารถช่วยต่อยอดธุรกิจ และเพิ่มภาพลักษณ์องค์กรให้ดีขึ้น ซึ่งคาดว่าบริษัทจะสามารถสรุปได้ในต้นปี 59 โดยจะจำหน่ายหุ้นให้ PP จำนวน 500 ล้านหุ้น ในราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคากระดานแน่นอน ซึ่งเงินที่ได้จากการขายหุ้น PP ครั้งนี้ก็จะนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนและใช้ในการลงทุนต่อไป
"สิ้นปีนี้เรามั่นใจว่าดีขึ้น จากปริมาณความต้องการในประเทศดีอยู่ ขณะที่เราก็มีแผนขยายตลาดในช่องทางใหม่ๆเพิ่มอีก ด้านอัตราการเติบโตของยอดขายดีขึ้นคาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ 7 แสนตัน เมื่อเทียบกับปีก่อนที่อยู่ที่ 4.4 แสนตัน และอัตรากำไรขั้นต้นก็เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนที่ 5% จากที่เรามีการปรับปรุงเครื่องจักร ส่งผลต่อต้นทุนผลิตลดลง ส่วนปี 59 เราก็น่าจะเป็นปีที่ดีขึ้นและน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ จาก 3 กลุ่มธุรกิจที่เราจะรุกเข้าไป โดยตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นปีหน้าจะเติบโตได้เป็นตัวเลขสองหลัก รวมถึงยอดขายเติบโตได้ 10-20% หรือ 8-9 แสนตัน"นางสาวจุรีรัตน์ กล่าว