ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากเครื่องกรองน้ำและชุดสารกรอง 95% เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 5% และมีแผนเปิดสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มอีก 5-7 แห่ง ใช้เงินลงทุนราว 1 ล้านบาท/สาขา จากสิ้นปีนี้ที่จะมีสาขารวม 14 สาขา และศูนย์บริการ 7 แห่ง
ทั้งนี้ บริษัทวางงบลงทุนอีกราว 10 ล้านบาท เพื่อใช้ในการก่อสร้างอาคารเพิ่มอีกจำนวน 1 หลัง รองรับการเติบโต ซึ่งจะอยู่ในพื้นที่โรงงานในจังหวัดปทุมธานี พื้นที่กว่า 12 ไร่ โดยปัจจุบันมีอาคารโรงงาน 1 แล้ว และยังมีพื้นที่ที่สามารถก่อสร้างโรงงานเพิ่มได้อีก ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานทั้งสิ้น 4 แห่ง มีกำลังการผลิตรวม 3 หมื่นเครื่อง/เดือน
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษา 3 แนวทาง คือ การร่วมลงทุนกับพันธมิตร ,การแต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย และการเปิดสาขาเอง เบื้องต้นคาดจะเป็นการตั้งตัวแทนจำหน่าย เพราะง่ายที่สุด ปัจจุบันเจรจากับเจ้าของธุรกิจในลาวและเวียดนาม คาดจะเห็นความชัดเจนภายในปี 59
อีกทั้งบริษัทยังคงเพิ่มจำนวนพนักงานขายทางโทรศัพท์ เพื่อต่อยอดธุรกิจจากฐานลูกค้าเดิม ส่งผลให้ยอดขายชุดสารกรอง เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายในสิ้นปีนี้จำนวนพนักงาน call center และพนักงานขายทางโทรศัพท์จะมีมากกว่า 100 คน
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดจะมีรายได้เติบโตมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 1.5 พันล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 1.13 พันล้านบาท และกำไรสุทธิก็จะทำสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา หลังงวด 9 เดือนที่ผ่านมามีกำไรสุทธิที่ 99.89 ล้านบาท มากกว่าเมื่อเทียบกับทั้งปี 57 ที่อยู่ที่ 93.72 ล้านบาท เป็นไปตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มเข้ามามากขึ้น ประกอบกับมีรายได้จากการจำหน่ายเครื่องกรองน้ำรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีราคาต่อเครื่อง 16,000 บาท มากกว่าเครื่องกรองน้ำแบบเดิม ที่มีราคาสูงอยู่ที่ 8,500 บาทต่อเครื่อง
"เรายังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มจำนวนสาขาและศูนย์บริการในต่างจังหวัด เพื่อขยายฐานลุกค้าและการให้บริการหลังการขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้มีความหลากหลาย เช่น การขายผ่านโมเดริ์นเทรด อีคอมเมิร์ซ การขายเข้าโครงการขนาดใหญ่ และตัวแทนจำหน่าย เป็นต้น ขณะที่ก็มีแผนที่จะเปิดสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มปีละ 5-7 แห่ง"นายวิรัช กล่าว