รวมถึงหลังจากนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ราว 170 ล้านบาท ไปชำระคืนเงินกู้จากสถาบันทางการเงินทั้งหมด ทำให้ลดภาระดอกเบี้ยได้บางส่วน คาดว่าไม่เกิน 5 ปี จะสามารถชำระคืนหนี้ธนาคารได้หมด 500 ล้านบาท ประกอบกับบริษัทได้ปิดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไปแล้วถึงเดือนก.ย.59 ทำให้มีรายรับเข้ามาแน่นอน อีกทั้งเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะดีกว่าปีนี้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนผลักดันการใช้กำลังการผลิตเต็ม 100% ภายใน 3 ปี และผลักดันสัดส่วนการขายสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และกลุ่มเอสเอ็มอี เป็น 50:50 จากปัจจุบันอยู่ที่ 60:40 โดยจะขยายฐานลูกค้าไปยังธุรกิจขนาดเล็กเอสเอ็มอีมากขึ้น เพื่อเพิ่มมาร์จิ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 20% และอัตรากำไรสุทธิ 8-10% ในปี 59 จากปัจจุบันมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15-20% และอัตรากำไรสุทธิ 5%
"แผนการดำเนินงานในปีหน้า การเติบโตของรายได้จะต้องมากกว่าปีนี้ หรือราว 10% จากการเพิ่มกำลังการผลิตเฟส 2 โดยเราคาดว่าการเติบโตก็จะเติบโตเฉลี่ย 10% ในทุกๆปี จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะมีกำลังการผลิตเต็ม 100% ได้ ขณะที่เป้าหมายหลักจะเป็นการขยายทีมขาย และดันออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น รวมถึงจะดำเนินการลดบทบาทกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ลง รุกอุตสาหกรรมขนาดเล็กเอสเอ็มอีมากขึ้น เพื่อดันมาร์จิ้นสูงขึ้น"นายชาญกฤช กล่าว
นายชาญกฤช กล่าวว่า สำหรับปี 58 คาดว่ารายได้น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ราว 30% จากปีก่อนที่ทำได้ 1,097.26 ล้านบาท หลัง 9 เดือนที่ผ่านมาทำได้แล้ว 900 ล้านบาท โดยมองแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/58 น่าจะดีกว่าไตรมาส 3/58 เป็นไปตามช่วงของธุรกิจที่ไตรมาสสุดท้ายนี้จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ซึ่งจะมีวันหยุดมาก ส่งผลดีต่อกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้นอีกด้วย ส่วนกำไรสุทธิปีนี้คาดจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 50.95 ล้านบาท เนื่องจากการใช้กำลังการผลิตยังไม่เต็มที่ แต่มีค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าสื่อมราคา ค่าเช่าที่เก็บวัตถุดิบ ซึ่งต้องคิดเป็นต้นทุนให้กับสินค้า ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น
พร้อมกันนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างวางแผนด้านการตลาดบางโครงการ ซึ่งหากสำเร็จจะส่งผลดีต่อธุรกิจอย่างมาก คาดว่าจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในไตรมาส 1/59