ขณะที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นในปีหน้าจะลดลงเหลือ 15% จากคาดระดับ 18-19% ในปีนี้ เป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่งผลต่อราคาขายยางมะตอยที่ลดลงตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าราคาน้ำมันจะไม่ปรับลดลงไปกว่าระดับปัจจุบัน โดยคาดราคาน้ำมันเฉลี่ยในปี 59 จะอยู่ที่ราว 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากเฉลี่ยปีนี้ที่ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ราว 800-1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงโรงกลั่นยางมะตอย โรงงาน และซื้อรถขนยางมะตอยเข้ามาเพิ่ม โดยงบดังกล่าวอยู่ในแผนการลงทุน 5 ปี (ปี 59-63) จำนวน 8.5 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามในปีหน้ายังไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น การเข้าซื้อกิจการ เนื่องจากที่ผ่านมาคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการเข้าซื้อกิจการในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย ใช้เงินลงทุนรวม 2.2 พันล้านบาท ซึ่งจะนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในวันที่ 5 ม.ค.59 ซึ่งคาดว่าผู้ถือหุ้นจะให้การสนับสนุน
"ปีหน้าเราตั้งเป้าปริมาณการขายยางมะตอยเพิ่มขึ้น 25% จากปีนี้ หลังเข้าซื้อกิจการในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย ก็จะส่งผลให้ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับยังมี demand ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะ 5 ประเทศที่เรามีการส่งออก ก็ยังมีการเติบโอย่างต่อเนื่อง"นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับปี 58 บริษัทคาดว่าปริมาณการขายยางมะตอยจะอยู่ที่ 2.2-2.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 10-15% จากปีก่อน ที่มีปริมาณการขายยางมะตอยอยู่ที่ 2 ล้านตัน และยังคงมั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ปริมาณการขายยางมะตอยในไตรมาส 4/58 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ จากที่เคยทำได้สูงสุดที่ 6.6-6.7 แสนตัน เนื่องจากตลาดยางมะตอยในประเทศได้รับประโยชน์จากการลงทุนอย่างมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยเฉพาะการลงทุนของกรมทางหลวงชนบท ที่มีแผนการลงทุนในการทำถนนตั้งแต่ไตรมาส 4/58 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1/59 และตลาดยางมะตอยในต่างประเทศนั้นก็มียอดคำสั่งซื้อเข้ามาล่วงหน้าแล้วถึงกลางเดือนม.ค.59