นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (2559 – 2563) ที่ออกมาล่าสุดในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ยังคงมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยเน้นการขยายตัวของเมืองรวมทั้งการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และภาครัฐมีเป้าหมายการเติบโตของ GDP และรายได้ของประชากรต่อหัวให้เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวภายในปี 2563
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนในปี 2559 ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศที่ยังชะลอตัว แต่คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยบวกมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปฏิรูปประเทศที่มีต่อเนื่อง ทั้งนี้ทางการจีนยังมีความเข้มงวดในการกำกับดูแลตลาดทุนเพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาด ควบคู่กับการเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงตลาดทุนจีนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาตลาดเงินตลาดทุนของจีนในระยะยาว
นอกจากนี้การที่ดัชนี MSCI ได้เพิ่มหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ เข้าไปร่วมอยู่ในดัชนีด้วย จะเป็นการเปิดโอกาสให้เงินทุนไหลเข้าไปลงทุนในหุ้นจีนมากขึ้น รวมถึงการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พิจารณานำเงินหยวนเข้าเป็นหนึ่งในสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 ต.ค. 2559 จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน
“ผลดีจากการที่เงินหยวนจะได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งในตะกร้า SDR (Special Drawing Right) ของ IMF จะทำให้เงินหยวนเป็นที่ยอมรับและใช้ในการค้าการลงทุนระหว่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ภาครัฐสามารถออกพันธบัตรในสกุลหยวนเพื่อขายนักลงทุนต่างชาติได้ ซึ่งจะทำให้สินทรัพย์ของจีนมีบทบาทสำคัญในตลาดโลก ส่วนในระยะสั้นจะยังไม่มีผลกระทบต่อตลาดมากนัก เนื่องจากไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายและจะเริ่มใช้จริงในปลายปีหน้า แต่คาดว่าทางการจีนมีแนวโน้มปล่อยให้หยวนเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดมากขึ้น และจะทำให้เงินหยวนมีโอกาสอ่อนค่ามากขึ้นในปีหน้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อภาคการส่งออกของจีนเนื่องจากทำให้จีนมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น" นายนาวินกล่าว
นายนาวิน กล่าวว่า ส่วนมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นจีน บลจ.กสิกรไทยมองว่า ในระยะสั้นตลาดยังมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน A-share ซึ่งมีนักลงทุนรายย่อยในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดความผันผวนจากแรงเทขายทำกำไร แต่ก็คาดว่าจะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมาเนื่องจากนักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้น และทางการจีนได้เพิ่มมาตรการในการกำกับดูแลนักลงทุนรายย่อยที่เป็นนักลงทุนส่วนใหญ่ของตลาดมากขึ้น ส่วนมุมมองในระยะยาวตลาดหุ้นจีนยังมีความน่าสนใจเข้าลงทุน เนื่องจากระดับราคาหุ้นยังไม่แพง และยังมีโอกาสเติบโตได้ดีจากมาตรการหนุนของภาครัฐต่างๆที่ได้กล่าวมา
บลจ.กสิกรไทยจึงขอแนะนำกองทุน K-CHINA ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นจีนผ่านกองทุนหลัก Fidelity China Focus ด้วยกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุกที่จะเน้นลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการของรัฐบาลจีนที่เน้นกระตุ้นภาคการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของกองทุน K-CHINA ที่ผ่านมา 1 ปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 4.53% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.03% และย้อนหลัง 3 ปีให้ผลตอบแทนที่ 31.57% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 22.81% (ข้อมูล ณ 30 พ.ย. 2558) และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 52 กองทุนจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 8 ครั้ง รวมเป็นเงิน 2.60 บาทต่อหน่วย
สำหรับผู้ลงทุนที่ชอบจับจังหวะทำกำไรด้วยตนเอง บลจ.กสิกรไทยยังขอแนะนำกองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นจีน (K-CHX) ซึ่งใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างผลตอบแทนที่เคลื่อนไหวอิงกับดัชนี FTSE China A50 โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 58 ที่ผ่านมา – 30 พ.ย.58 ให้ผลตอบแทนที่ 1.67%
สำหรับมุมมองตลาดหุ้นสหรัฐฯ นายนาวินกล่าวว่า จากตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 ที่ออกมาเกือบ 100% หุ้นในกลุ่มไอทีส่วนใหญ่ออกมาค่อนข้างดี โดยกว่า 81% มีรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย และทำรายได้เป็นอันดับ 2 รองลงมาจากหุ้นในกลุ่มสุขภาพ ทำให้ตั้งแต่ต้นปี – 30 พ.ย. 58 ดัชนี Nasdaq ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มไอที สามารถปรับตัวขึ้นกว่า 10% เอาชนะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในภาพรวมที่ปรับตัวขึ้นเพียง 1% อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามูลค่าหุ้นสหรัฐฯ จะมีการปรับฐานในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แต่ระดับราคาหุ้นซื้อขายอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงและใกล้เต็มมูลค่า ทำให้ความน่าสนใจลงทุนน้อยลง จากอัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ลดลงหากธนาคารกลางสหรัฐฯปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้
บลจ. กสิกรไทย มีกำหนดจะจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100 (K-USXNDQ) ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 - 30 พฤศจิกายน 2558 และกองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) ในอัตรา 0.15 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2558 - 30 พฤศจิกายน 2558 โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 ธันวาคม 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 199.63 ล้านบาท