ทั้งนี้ บริษัทมองกรอบการแกว่งตัวในไตรมาส 1/59 ไว้ที่ 1,240-1,400 จุด และคาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปี 59 จะอยู่ที่ 1,480 จุด
"ดัชนีจะกลับมายินเหนือ 1,400 จุดได้หรือไม่ขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศเป็นสำคัญ หากฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดจะส่งผลบวก แต่หากฟื้นตัวช้าตลาดมีแนวโน้มซบเซาไปถึงปลายปี 59"นางชวินดา กล่าว
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยของบริษัทคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 59 ซึ่งตลาดหุ้นน่าจะเห็นการขยับขึ้นก่อนเมื่อมีสัญญาณบ่งชี้การฟื้นตัวที่ดีทางเศรษฐกิจ สังเกตได้ที่หุ้นกลุ่มธนาคาร ในขณะที่หุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการประมูลงานโครงการภาครัฐยังคงมีแนวโน้มที่ดี รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลดีจากการรวมกลุ่มประเทศ CLMV และตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองที่จะออกมาเป็นปัจจัยผลักดันในทางบวก
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตามองในไตรมาสแรกของปีหน้า ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในวันที่ 3 ก.พ.59 และวันที่ 23 มี.ค.59 โดยคาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ย และธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC) ในวันที่ 26-27 ม.ค.59 และ 15-16 มี.ค.59 ซึ่งมีโอกาสในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มี.ค.อีกรอบ รวมถึงการประชุมของธนาคารกลางยุโรป(ECB)ที่จะมีในวันที่ 21 ม.ค.และ 10 ก.พ.59 คาดว่าจะมีการประกาศมาตรการ QE เพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังจับตามองมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน และการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของจีน หากจีนฟื้นตัวจะทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่ม Commodity เข้ามาเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งในไตรมาส 1/59 เน้นไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงมีแนวโน้มที่ดีของ Investment cycle ของไทย กลุ่มการส่งออก หรือกลุ่มที่ได้รับผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาท กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่ม CLMV นางชวินดา กล่าวอีกว่า นักลงทุนที่ยังไม่ได้ลงทุนในกองทุน RMF- LTF ในช่วงเวลานี้นับเป็นจังหวะที่ดี และเป็นโค้งสุดท้ายสำหรับการลงทุนในปีนี้ เนื่องจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงกว่า 22% จากจุดสูงสุดในเดือน ก.พ.อยู่ที่ 1,615.89 จุด ซึ่งกองทุน LTF และ RMF ของบริษัทมีหลายกองทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในระยะยาว เช่น กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นระยะยาว (KTLF) เป็นกองทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มเทคโนโลยีฯ
นอกจากนี้ ยังทยอยสะสมหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น กลุ่มขนส่ง การแพทย์ รวมทั้งหุ้นที่ได้รับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เช่น กลุ่มปิโตรเคมี เป็นต้น จุดเด่นของกองทุนนี้ มีการจ่ายเงินปันผลและผลการดำเนินงานย้อนหลังสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ โดยผลตอบแทน ณ วันที่ 4 ธ.ค.58 ย้อนหลัง 1 ปี-12.23% 3 ปี 8.85% และ 5 ปี 40.76% ในขณะที่เกณฑ์มาตรฐานย้อนหลัง 1 ปี -16.54% 3 ปี 0.26% และ 5 ปี 28.96%
ทั้งนี้ หากผู้ลงทุนต้องการลงทุนในกองทุน LTF แต่รับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ แนะนำกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นระยาว 70/30 (KTLF70/30) เพราะเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไม่เกิน 70% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ส่วนกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-WEQ RMF) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Templeton Global Fund (Master Fund) โดยลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก รวมถึงตลาดเกิดใหม่ เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยง โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน Value Stock