“หลัง Qatar ถอนตัวไป เราก็จะหาพันธมิตรใหม่กำลังการเจรจากันอยู่ การเปิดประมูลรับเหมาก่อสร้างก็เสร็จสิ้นแล้ว น่าเสียดาย financial close ก็คงต้องเลื่อนออกไป โครงการก็อาจจะล่าช้าไปบ้าง"นายกานต์ กล่าว นายกานต์ กล่าวว่า การเจรจากับพันธมิตรใหม่เพื่อเข้าร่วมทุนนั้น เปิดกว้างการเจรจากับพันธมิตรทุกกลุ่มไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรในธุรกิจน้ำมัน รวมถึงเปิดกว้างทั้งในส่วนของสัดส่วนการร่วมลงทุน แต่ยังยืนยันที่เครือซิเมนต์ไทยจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลักอยู่ ขณะที่สัญญาการรับเหมาก่อสร้างจะมีอายุถึงประมาณกลางปี59 ซึ่งหากโครงการไม่สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในกลางปีหน้า ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดประมูลเพื่อหาผู้รับเหมาใหม่ต่อไป
เมื่อเดือนพ.ย. QPI Vietnam (QPIV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Qatar Petroleum International และเป็นผู้ถือหุ้น 25%ในโครงการLong Son Petrochemicals ทางตอนใต้ ของประเทศ ได้แจ้งถอนตัวจากการร่วมลงทุน ขณะที่โครงการดังกล่าวมีกลุ่ม SCC ถือหุ้นใหญ่ทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 46% ขณะที่ PetroVietnam และ Vinachem ถือหุ้นร่วมกัน 29%
ก่อนหน้านี้ SCC คาดว่าจะสรุปแผนลงทุนและแผนการเงินของโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในเวียดนามได้ทั้งหมดในช่วงไตรมาส 1/59 โดยเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าโครงการอาจจะมากกว่าเดิมที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเล็กน้อย
ด้านแหล่งข่าวจาก SCC กล่าวถึงแผนงานของธุรกิจปิโตรเคมีในปี 59 ว่า ธุรกิจปิโตรเคมีของเครือซิเมนต์ไทยจะไม่ปิดซ่อมบำรุงโรงงานของระยองโอเลฟินส์ หลังจากได้เลื่อนการปิดซ่อมบำรุงไปเป็นต้นปี 60 โดยจะปิดเป็นเวลา 40 วัน จากเดิมจะปิดในช่วงปลายปี 59 เนื่องจากไม่ต้องการให้ตรงกับช่วงการปิดซ่อมบำรุงของโรงงานปิโตรเคมีของกลุ่มบมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) พร้อมกันนี้ก็จะมีการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์อีกเล็กน้อยด้วย
ส่วนการที่กลุ่มบมจ.ปตท.(PTT)อาจจะยกเลิกการขายแนฟทาให้กับเครือซิเมนต์ไทยในอนาคต เพราะต้องการนำแนฟทาไปต่อยอดการผลิตปิโตรเคมีของกลุ่มปตท.เองนั้น เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของเครือซิเมนต์ไทย แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นผู้ซื้อแนฟทาจากกลุ่มปตท.ก็ตาม เพราะเชื่อว่าจะสามารถนำเข้าแนฟทาจากต่างประเทศได้จากปัจจุบันที่มีการนำเข้าอยู่ราว 40% และซื้อจากในประเทศ 60%