ประกอบกับ บริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 138 เมกะวัตต์ จากปีนี้ที่มีกำลังการผลิต 40 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าไบโอแมสอีก 10 แห่ง กำลังการผลิตรวมราว 100 เมกะวัตต์ คาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 150-200 ล้านบาทต่อโรง ซึ่งจะเห็นความชัดเจนทั้งหมดในปีหน้า
สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากการออกหุ้นกู้มูลค่ารวมไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะออกและเสนอขายได้ในช่วงปลายเดือน ม.ค.59 โดยเงินลงทุนในแต่ละโครงการขึ้นกับสัดส่วนการถือหุ้น แต่บริษัทต้องการถือหุ้นในทุกโครงการต่างๆ สูงสุดทั้ง 100% และต้องการอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 20%
นายพีรทัศน์ กล่าวว่า ในระยะยาวบริษัทฯตั้งเป้าที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 188 เมกะวัตต์ในปี 60 และสูงขึ้นไปถึง 277 เมกะวัตต์ ในปี 61 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานเพิ่มเป็น 80% และอีก 20% เป็นธุรกิจผลิตงาน
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ นายพีรทัศน์ กล่าวว่า กำไรสุทธิจะเติบโตพลาดเป้า เนื่องจากการเข้าถือหุ้นโรงไฟฟ้ามีความล่าช้าไปบ้าง ทำให้ในปีนี้มีรายได้เข้ามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ราว 600-700 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ 702.33 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนรายได้หลักในปีนี้ยังมาจากธุรกิจเดิมที่บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโครงเหล็กชุบสังกะสีสำหรับเสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง เสาโทรคมนาคม โครงเหล็กสถานีไฟฟ้าย่อย และให้บริการชุบสังกะสีให้แก่ลูกค้าทั่วไป รวมทั้งจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ส่งกำลัง
อนึ่ง การเข้าลงทุนบริษัท แอ๊ดวานซ์ ไบโอพาวเวอร์ จำกัด (ADVANCE) และบริษัท สตึก ไบโอแมส จำกัด (SATUK) ซึ่งประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังการผลิตรวม 17.4 เมกะวัตต์ มูลค่า 923 ล้านบาท มีการเลื่อนการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นออกไปเป็นในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 3/2558 ที่กำหนดในวันที่ 25 ธ.ค. ทำให้การรับรู้รายได้เลื่อนไปเป็นปี 59 ทั้งนี้ โรงไฟฟ้า 2 แห่งจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทปีละกว่า 300 ล้านบาท