“ปีหน้ากำไรก็คงจะดีกว่าปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดเส้นทางใหม่ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเรายังมีการซื้อเรือใหม่อีก 2 ลำ มูลค่า 260 ล้านบาท ซึ่งจะส่งมอบในไตรมาส 1/59 โดยปัจจุบัน บริษัท มีเรืออยู่ 12 ลำ ส่วนอัตรากำไรสุทธิในปีหน้าก็คงอยู่ที่ประมาณ 5-10% ปีนี้ก็อยู่ที่ราวๆ 7%"นายอภิชาติ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเส้นทางเดินเรือใหม่ทางฝั่งอันดามัน เช่น กระบี่-เกาะพีพี คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/59 และ จะเริ่มเตรียมความพร้อม โดยการเช่าท่าเรือชั่วคราวในจังหวัดกระบี่ และจะเริ่มเปิดให้บริการในเส้นทางดังกล่าวได้ภายในไตรมาส 2/59
“ตอนนี้เราก็สนใจที่จะเดินเรือทางฝั่งอันดามัน เพราะตอนนี้เราไม่มีเส้นทางฝั่งอันดามันเลย ซึ่งจังหวัดที่เราสนใจ คือ กระบี่ เช่น เกาะพีพี เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเกาะนี้มากกว่า 1.5 หมื่นคนต่อวัน ในขณะที่สมุย 4-5 พันคนต่อวันเท่านั้น โดยจะใช้เงินลงทุนสำหรับเส้นทางนี้ประมาณ 50 ล้านบาท"นายอภิชาติ กล่าว
ส่วนที่ดินที่ติดกับท่าเรือราชาเฟอร์รี่ อำเภอดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 66 ไร่ โดยบริษัทได้ตัดสินใจยกเลิกแผนการพัฒนาที่ดินเพื่อลงทุนทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก อย่างเช่น คอมมูนิตี้มอลล์ เนื่องจากบริษัทมองว่าภาวะเศรษฐกิจในปีหน้ายังไม่เอื้ออำนวย และยังมีความเสี่ยงสูง ทำให้บริษัทชะลอแผนการลงทุนออกไปก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะใกล้เคียงจากปีก่อนที่ 85.33 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4-5 พันคนต่อวัน และการที่บริษัทผลิตไบโอดีเซล ซึ่งบริษัทนำมาเป็นส่วนผสมในน้ำมันเติมเรือเฟอร์รี่ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถควบคุมและลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทมีกำลังการผลิตไบโอดีเซลในปัจจุบันอยู่ที่ 100,000 ลิตรต่อวัน
อย่างไรก็ตาม รายได้ของบริษัทในปีนี้ก็อาจจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ที่ 676.43 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงมาอยู่ที่ 35-40 เหรียญต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาตั๋วโดยสารของบริษัทปรับลดลงตามทำให้รายได้ไม่เติบโต ซึ่งราคาตั๋วโดยสารของบริษัทจะมีการปรับตัวตามราคากลางที่กำหนด