ทั้งนี้ ในรอบที่ 80 มีผู้เสนอราคาทั้ง 2 ใบอนุญาตเพิ่มมาที่ 40,234 ล้านบาท ใบแรกมีผู้แข่งราคา 1 ราย ใบที่สอง 2 ราย โดยมีราคารวมขยับขึ้นเป็น 80,468 ล้านบาทวงในประเมินผลประมูลคลื่น900 เอไอเอสมาชัวร์
แหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิดการประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz คาดว่า การแข่งขันเคาะราคาประมูลที่ดุเดือดจนมาถึงวันที่ 2 จนพุ่งทะลุ 4 หมื่นล้านบาท/ใบไปแล้ว และยังคงมีผู้เข้าร่วมประมูลครบ 4 ราย สืบเนื่องมาจากราคากันอยู่มาจากเงื่อนไขของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ที่อนุมัติให้ทยอยจ่ายค่าใบอนุญาตใน 3 ปีแรกในราคา 1.6 หมื่นล้านบาท โดยปีที่1 จ่าย 8 พันล้านบาท ปีที่ 2-3 จ่ายปีละ 4 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือที่เกินจากนั้นให้จ่ายในปีที่ 4 จุดนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมประมูลประเมินว่าสามารถหาเงินกู้ได้ทันหรืออาจนำเงินรายได้จากคลื่นที่ประมูลได้
"กทค.ต้องการให้ผู้แข่งขันไม่รู้หนักตักแต่ละราย และหาต้นทุนไม่ถูก จากเดิมที่ใช้เกณฑ์จ่าย 50% ในงวดแรก 25% ในปีที่ 2 และ 25%ในปีที่ 3 ซึ่งจะรู้หนัตักและมีข้อจำกัดในการลงทุนขยายโครงข่าย"แหล่งข่าว กล่าว
แหล่งข่าวคาดว่า ในบรรดาผู้แข่งขันทั้ง 4 ราย มองว่าค่ายเอไอเอสจะต้องประมูลคลื่นความถี่ 900MHz ให้ได้แน่นอน เพราะจะทำให้ได้เปรียบที่สุด เนื่องจากไม่ต้องลงทุนโครงข่ายเพิ่มเติมเพียงติดตั้งอุปกรณ์เทคโนโลยี 4G ซึ่งสามารถจะเปิดให้บริการได้เร็วที่สุด
ขณะที่ค่ายดีแทคจำเป็นต้องได้ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 900 MHz เช่นกันจึงคาดว่าจะเตรียมเงินทุนในการประมูลไม่จำกัด เพราะหากไม่ได้จะทำให้อนาคตในวงการโทรคมนาคมในประเทศไทยค่อนข้างริบหรี่ และอาจถึงขั้นต้องถอนการลงทุนจากไทยย้ายไปประเทศเมียนมาร์ตามที่มีข่าวลือก่อนหน้านี้
ส่วนค่ายทรูก็เชื่อว่าจะใช้เงินทุนในการประมูลครั้งนี้แบบไม่มีลิมิตเช่นกัน เพื่อกันคู่แข่งอย่างดีแทคและเบียดขึ้นมาเป็นอันดับ 2 แทน จากปัจจุบันที่อยู่อันดับ 3 ขณะเดียวกันก็จะได้สามารถขยายแบนด์วิธได้กว้างขึ้นด้วย
สำหรับรายใหม่อย่างค่าย JAS ก็ประมาทไม่ได้ เพราะเชื่อว่าทุ่มไม่อั้นเช่นกัน เพราะครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงพันธมิตรเก่าอย่างเกาหลี แต่ได้จับมือกับโอเปอเรเตอร์ในวงการรายเดิมที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว
"การคิดวิเคราะห์ธุรกิจแบบเดิมๆคงจะไม่ได้สำหรับการชิงคลื่นความถี่ 900MHz เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจต้องรอไปอีกหลายปีกว่าจะมีการเปิดประมูลคลื่นอีกครั้ง"แหล่งข่าว กล่าว