(เพิ่มเติม) ตลท.ตั้งเป้าปี 59 มาร์เก็ตแคป IPO 2.7 แสนลบ.จากกว่า 2.2 แสนลบ.ปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 17, 2015 17:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ประกาศแผนงานปี 59 วางกลยุทธ์หลักเพื่อนำไปสู่ S-Curve ใหม่ โดยเฉพาะการขยายฐานและพัฒนาคุณภาพบริษัทจดทะเบียน รวมถึงสร้างความแข็งแกร่งให้ SME โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตามราคาตลาดของหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ 270,000 ล้านบาท ทั้งจากบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม (Industry Leader) รัฐวิสาหกิจ และบริษัทต่างชาติทั้งในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงและอื่นๆ พร้อมสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและโอกาสทางธุรกิจให้กับ SME และตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตามราคาตลาดจากบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีอยู่อีก 255,000 ล้านบาท

พร้อมพัฒนาคุณภาพของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การระดมทุนจากประชาชนครั้งแรก การซื้อขายและตัวกลางในการซื้อขาย จนถึงการกำกับดูแล รวมถึงส่งเสริมคุณภาพตามกรอบตัวชี้วัดด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพสู่ตัวชี้วัดสากล (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI)

ในด้านการส่งเสริมคุณภาพและขยายฐานผู้ลงทุนบุคคล ด้วยการขยายฐานและพัฒนาคุณภาพผู้ลงทุนเป้าหมายผ่านสถาบันตัวกลางพันธมิตร และพัฒนาทักษะความรู้ผู้ลงทุนในตลาดทุน และส่งเสริมสื่อเทคโนโลยีทางการเงินรูปแบบใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนรุ่นใหม่ รวมถึงพัฒนาช่องทางการตลาดเพื่อขยายฐานผู้ลงทุนในต่างจังหวัดและเชื่อมโยง GMS ผ่านตัวกลาง โดยตั้งเป้าเพิ่มผู้ลงทุนในหุ้นอีก 110,000 ราย และในตราสารอนุพันธ์อีก 10,000 ราย และเพิ่มบัญชี Online อีก 180,000 บัญชี

นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การมุ่งสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เป็นทิศทางที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงให้ความสำคัญและจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในปี 2559 เพื่อมุ่งสู่ความเป็น Sustainable Stock Exchange (SSE) ตามกรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมที่จะเติบโตควบคู่กับแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลและส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชากรไทย รวมถึงผลักดันบริษัทขนาดกลางและเล็ก และธุรกิจในครอบครัวให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้กิจการเหล่านี้สามารถสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ แนวทางที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งเน้นจะพัฒนาต่อไปนั้นจะมีความทันสมัย เป็นสากล ครบทุกมิติทั้งความลึก ความกว้าง และคุณภาพ เพื่อตอบสนองผู้มีส่วนได้เสียในตลาดทุน สังคม และประเทศชาติ

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง แผนกลยุทธ์ในปี 2559 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมุ่งเติบโตควบคู่กับการพัฒนาเชิงคุณภาพ โดยเห็นว่าทิศทางการลงทุนในปีหน้ามีโอกาสเติบโตขึ้นตามการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยว่าจะเติบโตมากกว่าปีนี้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องการสนับสนุนทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล จึงพร้อมส่งเสริมและสร้างความแข็งแกร่งให้กับ SME รวมถึงการสร้างฐานผู้ลงทุนสถาบันในประเทศให้แข็งแรงอีกด้วย เพื่อสร้าง New S-Curve ในธุรกิจใหม่ๆ ให้กับตลาดทุนไทย ขณะเดียวกันยังคงเดินหน้าพัฒนาคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนไทย ขยายเครื่องมือและบริการด้านการลงทุนให้มีความหลากหลาย และเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ลงทุน เพื่อสร้างตลาดทุนไทยให้มีคุณภาพทัดเทียมสากล

1.ในปี 2559 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงวางกลยุทธ์หลักเพื่อนำไปสู่ S-Curve ใหม่ ในปีหน้า 6 ด้าน ได้แก่ ขยายฐานและพัฒนาคุณภาพบริษัทจดทะเบียนรวมถึงสร้างความแข็งแกร่งให้ SME โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตามราคาตลาดของหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ 270,000 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมการออก IPO ของกองทุนโครงสร้างสร้างพื้นฐานและกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการนำบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งถือว่าสูงกว่าปีนี้ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดของหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ 220,000 ล้านบาท ไม่รวมการออก IPO ของกองทุนโครงสร้างสร้างพื้นฐานและกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยหากรวมแล้วนั้นจะมีมูลค่าตามราคาตลาดของหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ 297,176 ล้านบาท

โดยการเติบโตของมูลค่าตามราคาตลาดของหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ในปี 59 จะมาจากบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม (Industry Leader) รัฐวิสาหกิจ และบริษัทต่างชาติทั้งในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงและอื่นๆ พร้อมสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและโอกาสทางธุรกิจให้กับ SME

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ยังตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตามราคาตลาดจากบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีอยู่ อีก 255,000 ล้านบาท พร้อมพัฒนาคุณภาพของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การระดมทุนจากประชาชนครั้งแรก การซื้อขายและตัวกลางในการซื้อขาย จนถึงการกำกับดูแล รวมถึงส่งเสริมคุณภาพตามกรอบตัวชี้วัดด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพสู่ตัวชี้วัดสากล (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI)

2.เพิ่มสินค้าใหม่ และขยายขอบเขตของสินค้าและบริการปัจจุบัน เช่น การเริ่มดำเนินการของตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้าใน TFEX ที่คาดว่าจะเริ่มเปิดให้มีการซื้อ-ขายได้อย่างช้าไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 59 การจัดทำดัชนีหุ้นกลุ่มใหม่ และการซื้อขาย Electronic Gold ในรูปแบบของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นต้น นอกจากนี้ ยังหาโอกาสเข้าร่วมพัฒนาตลาดทุนในประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS) และมีบทบาทด้านการพัฒนาความรู้ผู้ประกอบวิชาชีพใน GMS

3.สร้างฐานผู้ลงทุนสถาบันในประเทศให้แข็งแรง ส่งเสริมด้านการวางแผนเกษียณ รองรับสังคมสูงอายุ โดยร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ส่งเสริมการลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวม และพัฒนาระบบงานกลางสำหรับกองทุนรวม (Fund Service Platform) เพื่อรองรับการขยายตัวของกองทุนรวมและเพิ่มช่องทางให้กับผู้ลงทุน นอกจากนี้ยังมุ่งส่งเสริมช่องทางการขายเป็น Digital Tools จากเทคโนโลยีทางการเงินรูปแบบใหม่

4.ส่งเสริมคุณภาพและขยายฐานผู้ลงทุนบุคคล ด้วยการขยายฐานและพัฒนาคุณภาพผู้ลงทุนเป้าหมายผ่านสถาบันตัวกลางพันธมิตร และพัฒนาทักษะความรู้ผู้ลงทุนในตลาดทุน และส่งเสริมสื่อเทคโนโลยีทางการเงินรูปแบบใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนรุ่นใหม่ รวมถึงพัฒนาช่องทางการตลาดเพื่อขยายฐานผู้ลงทุนในต่างจังหวัดและเชื่อมโยง GMS ผ่านตัวกลาง โดยตั้งเป้าเพิ่มผู้ลงทุนในหุ้นอีก 110,000 ราย และในตราสารอนุพันธ์อีก 10,000 ราย และเพิ่มบัญชี Online อีก 180,000 บัญชี

5.พัฒนาบุคลากรตัวกลางและโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุน เพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคต นอกเหนือจากการสร้างฐานและเสริมความรู้ให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพตลาดทุนอย่างต่อเนื่องแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังสนับสนุนเพื่อให้กระบวนการในตลาดทุนพัฒนาเป็น Digital เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์

6.มุ่งสู่การเป็น Employer of Choice หรือ องค์กรที่เป็นที่ปรารถนาของคนทำงาน โดยมุ่งสร้างให้องค์กรสามารถ สรรหา พัฒนา และรักษาผู้ที่มีศักยภาพให้มีความพร้อมและเติบโต ก้าวสู่การเป็นผู้นำขององค์กรในอนาคต เพื่อร่วมสร้างให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นองค์กรที่ยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม จากแผนกลุยุทธ์ของตลาดหลัทรัพย์ในปี 59 ที่จะเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ในตลาดหลักทรัพย์ให้มีคุณภาพและจำนวนมากขึ้น การเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนในทุกช่องทาง และการเพิ่มศักยภาพของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จะร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียน ประกอบกับมองว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นจากปีนี้ที่ไม่ค่อยดีมากนัก เนื่องจากภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 59 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ชะลอตัว

ประกอบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ในปีนี้ที่ปรับตัวลดลงคาดว่าจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้า และส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีนี้ ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯมากขึ้น และคาดว่าจะช่วยให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ของตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 59 เพิ่มเป็น 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากปีนี้อยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาทต่อวัน

ด้านนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ในปี 59 จะมีบริษัทที่เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 15-20 บริษัท หรือคิดเป็นมูลค่ามาร์เก็ตแคป 1.5 หมื่นล้านบาท

โดยในปีนี้มีบริษัทที่เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 13 บริษัท ทั้งนี้ บริษัทที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปีหน้านั้นมีจำนวน 7 บริษัท ที่ได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคระกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในปีนี้แล้ว

นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด และดูแลสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน เปิดเผยว่า ในปี 59 จะมีบริษัทที่เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 15-20 บริษัท หรือคิดเป็นมูลค่ามาร์เก็ตแคป 282,176 ล้านบาท จากปีนี้มีบริษัทที่เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 21 บริษัท

ส่วนการนำบริษัทต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Foreign Listing) ในปี 59 นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนพูดคุยและเตรียมความพร้อมก่อนยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานก.ล.ต.ไทย โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นภาพบริษัทต่างชาติยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานก.ล.ต.ไทยได้ในช่วงไตรมาส 1/59 และจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีหน้า

"เรื่อง Foreign Listing ในปีหน้า ตอนนี้อยู่ระหว่างการ work กับเขาอยู่ ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีกี่ดีล แต่ไตรมาส 1/59 ก็คงจะได้เห็นภาพแล้วว่าอาจจะมีการยื่นไฟลิ่งกับก.ล.ต.ไทย และก็จะเข้ามา List ได้ในปีหน้า"นายสันติ กล่าว

สำหรับกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ Thailand Future Fund มูลค่า 1 แสนล้านบาท นั้นคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยฯ ได้ภายในครึ่งหลังของปี 59 ซึ่งหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 22 ธันวาคม ถ้ามีมติเห็นชอบให้จัดตั้ง Thailand Future Funhd แล้วนั้น ภายในเดือนมกราคมปีหน้าคาดว่าจะสามารถจัดตั้งกองดังกล่าวได้ และจะสามารถยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ได้ภายในไตรมาส 1/59

"ขั้นตอนก่อนการยื่นไฟลิ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการเลือกสินทรัพย์ขายเข้ากอง และการศึกษาเรื่องผลตอบแทนพอสมควร และหลังจากยื่นไฟลิ่งต่อก.ล.ต.แล้วจะใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบและพิจารณาจากทางก.ล.ต.อีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งทำให้กอง thailand Future Fund เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ทันในช่วงครึ่งปีแรก เพราะครึ่งแรกมองว่าเร็วเกินไป แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะได้เห็นกองนี้เข้าจดทะเบียนในครึ่งหลังของปีหน้า"นายสันติ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ