นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น บมจ.ปตท.(PTT) กล่าวว่า กลุ่มปตท.
เตรียมสรุปแนวทางการเลือกใช้ก๊าซธรรมชาติ หรือแนฟทาที่มาจากน้ำมันดิบ เป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีในช่วงปลายปี 59 ถึงต้น
ปี 60 รองรับปริมาณก๊าซฯในอ่าวไทยที่จะลดลง หลังแหล่งปิโตรเลียม 2 แหล่งใหญ่ของไทยจะหมดสัญญาสัมปทานในปี 65-66 เพื่อ
ป้องกันไม่ให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศได้รับความเสียหาย
"ปัจจุบันเราใช้ก๊าซฯไปทำปิโตรเคมีไม่เยอะประมาณ 15% ถ้าเรามีเวลาเตรียมอีก 2-3 ปีเราสามารถนำโพรเพน เอา
LPG ก็ได้มาทำ หรืออาจจะ convert เป็นแครกเกอร์จากแนฟทา จากน้ำมันก็ได้ เรากำลังเตรียมการอยู่ ถึงแม้ว่าการขุดเจาะหรือ
การต่อสัญญาจะล้าช้าออกไป แต่เราไม่รอเพราะอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำสำคัญมาก เราไม่ทำให้กลางน้ำและปลายน้ำมีปัญหา
แน่นอน เพราะจะกระทบกับเศรษฐกิจแน่นอน"นายชาญศิลป์ กล่าว
นายชาญศิลป์ กล่าวว่า ปัจจุบันก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่จะถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า และมีการใช้ในส่วนของอุตสาห
กรรมปิโตรเคมีไม่มากนัก แต่ในส่วนของกลุ่มปตท.ใช้ก๊าซฯเป็นพื้นฐานในการผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของกลุ่ม ขณะที่แหล่ง
ปิโตรเลียม 2 แหล่งกำลังจะหมดอายุสัญญาสัมปทาน ประกอบกับไทยยังไม่มีการเปิดให้สำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งใหม่ ทำให้กลุ่ม
ปตท.ต้องศึกษาแนวทางเลือกเพื่อหาวัตถุดิบที่เหมาะสมเพื่อรองรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศ ที่ปัจจุบันส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยว
ข้องกับเม็ดพลาสติกในส่วนอุตสาหกรมกลางน้ำและปลายน้ำในแต่ละปีมากกว่า 1 ล้านล้านบาท หรือราว 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภาย
ในประเทศ(จีดีพี)
สำหรับแนวทางที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ได้แก่ การเลือกใช้ก๊าซฯเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีเหมือนเดิม ซึ่งอาจจะนำ
เข้าก๊าซโพรเพน หรือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ซึ่งมีองค์ประกอบทั้ง C3 และ C4 เข้ามาเป็นวัตถุดิบ แล้วเข้าสู่โรงแครกเกอร์
เพื่อนำไปผลิตปิโตรเคมีต่อไป โดยทั้งโพรเพน และ LPG มีอยู่ในตลาดซึ่งสามารถหาซื้อได้ แต่อาจต้องลงทุนดัดแปลงสาธารณูปโภค
บางส่วนเพื่อรองรับ เช่น ในส่วนของคลัง LPG แห่งที่ 2 ที่มีปริมาณเหลือหลังจากการใช้ LPG ลดลงไปนั้นก็สามารถนำมาใช้
ประโยชน์ในกรณีนี้ได้
ส่วนแนวทางที่สอง เป็นการเลือกใช้แนฟทา ซึ่งมาจากผลิตภัณฑ์น้ำมีน เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมี ซึ่งแนฟทาก็มี
ในตลาดเช่นกัน อีกทั้งกลุ่มปตท.ก็มีแนฟทาที่ออกจากกระบวนการกลั่นรวม 1.5 ล้านตัน/ปี ซึ่งปัจจุบันขายให้กับกลุ่มบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย
(SCC) และมีการส่งออก โดยหากใช่แนฟทาเป็นหลักในการผลิตปิโตรเคมีก็อาจจะต้องปรับปรุงหรือสร้างถังเพื่อรองรับต่อไป
นายชาญศิลป์ กล่าวว่า กลุ่มปตท.คงจะเลือกตัดสินใจในแนวทางใดแนวทางหนึ่ง โดยจะพิจารณาทั้งความเหมาะสม ความมี
เสถียรภาพ และต้นทุนการผลิต ซึ่งคาดว่าจะตัดสินใจได้ในช่วงปลายปี 59 ถึงต้นปี 60 เพื่อรองรับการสร้างอุตสาหกรรมปิโตรเคมีให้
มีความต่อเนื่อง เพราะหากรัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆทั้งการต่ออายุสัมปทานปิโตรเลียม หรือการเปิดสัมปทานรอบใหม่ ก็จะทำให้ก๊าซฯ
ในอ่าวไทยหมดในช่วง 6-7 ปีข้างหน้า ท่ามกลางความต้องการใช้ก๊าซฯในประเทศยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีมากถึง 5 พัน
ล้านลูบาศก์ฟุต/วัน ส่วนใหญ่มาจากการผลิตในอ่าวไทยกว่า 3 พันล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน นำเข้าจากเมียนมาร์กว่า 1 พันล้านลูกบาศก์
ฟุต/วัน และนำเข้าในรูปของก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)ราว 700-800 ล่านลูกบาศก์ฟุต/วัน
ขณะที่อุตสาหกรรมพลาสติกและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง นับว่ามีความสำคัญของต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยปัจจุบันไทยมีการ
ผลิตเม็ดพลาสติกราว 7-8 ล้านตัน/ปี โดยราวครึ่งหนึ่งมาจากการผลิตของกลุ่มปตท.