ซึ่งภายหลังการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ดังกล่าว ส่งผลให้การตอบรับของตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียหลายแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยหายไป ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในปี 2016 บลจ. ทิสโก้ จึงยังคงมุมมองเดิมต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่เน้นผ่อนคลายด้านนโยบายการเงินในปี 2016 โดยแนะนำทยอยสะสมหุ้นเยอรมัน, หุ้นญี่ปุ่น และหุ้นจีน
ตลาดหุ้นที่แนะนำในปี 2016 ยังคงเป็นตลาดหุ้นเยอรมัน ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และ ตลาดหุ้นจีนโดยเศรษฐกิจเยอรมันยังคงมีความแข็งแกร่งที่สุดในยุโรปและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดย ECB มีมาตรการทำ QE ต่อเนื่อง และมีปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินยูโร ประกอบกับปัจจุบันหุ้นเยอรมันยังซื้อขายที่ระดับP/E ต่ำที่สุดในยุโรป
สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน และการที่ BoJ อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านโครงการQQE รวมถึงการอ่อนค่าของเงินเยนยังส่งผลดีต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ทางด้านตลาดหุ้นจีน มองว่าการชะลอลงของเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพียงปัจจัยลบชั่วคราว เชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะดีขึ้นจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะยังคงเน้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลัง รวมถึงการบังคับใช้มาตรการต่างๆ เพื่อดูแลเสถียรภาพของตลาดหุ้น ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีน อีกทั้งปัจจุบันหุ้นจีนยังถูก ซื้อขายที่ P/E เฉลี่ยเพียง 8 เท่า ดังนั้นทั้ง 3 ตลาดจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
โดยนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (1 ม.ค.-17 ธ.ค.58) ตลาดหุ้นเยอรมัน (DAX) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 9.5%,ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 10.9% และตลาดหุ้นจีน (Hang Seng) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -7.3% ขณะที่ตลาดหุ้นไทย (SET) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -12.5%
ทั้งนี้ กองทุนหุ้นเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน ที่แนะนำในปี 59 ได้แก่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้" ซึ่งลงทุนในหุ้นเยอรมัน ที่เป็นประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในยุโรป,“กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้" ที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น โดยอิงดัชนี Nikkei 225 และ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้" ที่ลงทุนเฉพาะหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง ซึ่งถือเป็นตลาดที่มี Valuation ที่ถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ