ทิสโก้ชวนสะสม"หุ้นเยอรมัน–ญี่ปุ่น–จีน"ขณะที่หุ้นไทยผลตอบแทนติดลบ 12.5%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 21, 2015 11:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า จากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC)ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.25-0.5% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.2006 โดยจากแถลงการณ์การประชุมระบุว่า Fed ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อจะสามารถกลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% ได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1.การบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง 2.ตลาดแรงงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และ 3.ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มผ่อนคลายลง รวมถึง Fed ยังส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Gradual Increase) ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไปนั้น

ซึ่งภายหลังการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ดังกล่าว ส่งผลให้การตอบรับของตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียหลายแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยหายไป ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในปี 2016 บลจ. ทิสโก้ จึงยังคงมุมมองเดิมต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่เน้นผ่อนคลายด้านนโยบายการเงินในปี 2016 โดยแนะนำทยอยสะสมหุ้นเยอรมัน, หุ้นญี่ปุ่น และหุ้นจีน

ตลาดหุ้นที่แนะนำในปี 2016 ยังคงเป็นตลาดหุ้นเยอรมัน ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และ ตลาดหุ้นจีนโดยเศรษฐกิจเยอรมันยังคงมีความแข็งแกร่งที่สุดในยุโรปและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดย ECB มีมาตรการทำ QE ต่อเนื่อง และมีปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินยูโร ประกอบกับปัจจุบันหุ้นเยอรมันยังซื้อขายที่ระดับP/E ต่ำที่สุดในยุโรป

สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน และการที่ BoJ อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านโครงการQQE รวมถึงการอ่อนค่าของเงินเยนยังส่งผลดีต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ทางด้านตลาดหุ้นจีน มองว่าการชะลอลงของเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพียงปัจจัยลบชั่วคราว เชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะดีขึ้นจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะยังคงเน้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลัง รวมถึงการบังคับใช้มาตรการต่างๆ เพื่อดูแลเสถียรภาพของตลาดหุ้น ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีน อีกทั้งปัจจุบันหุ้นจีนยังถูก ซื้อขายที่ P/E เฉลี่ยเพียง 8 เท่า ดังนั้นทั้ง 3 ตลาดจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

โดยนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (1 ม.ค.-17 ธ.ค.58) ตลาดหุ้นเยอรมัน (DAX) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 9.5%,ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 10.9% และตลาดหุ้นจีน (Hang Seng) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -7.3% ขณะที่ตลาดหุ้นไทย (SET) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -12.5%

ทั้งนี้ กองทุนหุ้นเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน ที่แนะนำในปี 59 ได้แก่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้" ซึ่งลงทุนในหุ้นเยอรมัน ที่เป็นประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในยุโรป,“กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้" ที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น โดยอิงดัชนี Nikkei 225 และ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้" ที่ลงทุนเฉพาะหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง ซึ่งถือเป็นตลาดที่มี Valuation ที่ถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ