บล.ไทยพาณิชย์ มองศก.ปีหน้าโตแกร่งหนุนหุ้นไทยฟื้น ลุ้น 1,600-1,700 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 21, 2015 14:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ คาดว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 59 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าปีนี้ โดยเบื้องต้นคาดว่าดัชนีฯสามารถขึ้นไประดับ 1,600-1,700 จุด แต่หากทุกอย่างเติบโตดีมากก็มีโอกาสขึ้นไปถึงระดับ 1,800 จุด และมองต่ำสุดที่ 1,200 จุด ขณะที่คาดว่าการเติบโตของกำไรสุทธิ/หุ้น (EPS Growth) คาดว่าจะอยู่ที่ 12% หรือ 95 บาทต่อหุ้น บน P/E 15 เท่า จากปีนี้ที่ 74 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3% จากปีนี้ โดยเป็นการขยายตัวแข็งแกร่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการลงทุนของภาคเอกชนช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นและดึงดูดนักลงทุนให้กลัไบเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ตลอดจนการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง

ตลอดจนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ นับเป็นโอกาสของธุรกิจไทยที่จะเข้าไปลงทุนเพื่อเข้าไปขยายตลาดผู้บริโภคในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) โดยชูหุ้น Top Picks สำหรับไตรมาส 1/59 เป็นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง และมีประเด็นการเติบโตที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวของประเทศเพื่อนบ้านเมื่อเปิด AEC

ขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันเชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นราว 10% จากปีนี้ที่ราคาเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 51 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากไม่มีการสำรวจแหล่งใหม่ๆ และแหล่งเดิมๆทยอยปิดจากราคาน้ำมันที่อยู่ระดับต่ำทำให้ไม่คุ้มการลงทุน แต่ความต้องการใช้น้ำมันเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังราคาน้ำมันจะทยอยปรับตัวดีขึ้น และหากราคาน้ำมันปรับขึ้นอย่างที่คาด กลุ่มพลังงานก็มีความน่าสนใจ เนื่องจากจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน จากปีนี้คาดว่าจะมีผลขาดทุนจากสต็กน้ำมันกว่า 60,000 ล้านบาท

"ตลาดหุ้นไทยปี 59 จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน ด้วยปัจจัยบวกหลายๆ อย่างที่ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาคึกคักสามารถดึงดูดนักลงทุนไทยและต่างชาติได้ตามศักยภาพที่แท้จริง นอกจากนี้ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ การเปิด AEC อย่างเป็นทางการ แม้จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเนื่องจากมีการปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้ว แต่คาดว่าในช่วงเวลาดังกล่าวอาจจะได้เห็นกระแสข่าวเกี่ยวกับการมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะการขยายตลาดของบริษัทจดทะเบียนไทย ไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ขณะที่ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปตามรายได้ที่สูงขึ้นจากการขยายตัวของสังคมเมือง"นายอิสระ กล่าว

นายอิสระ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 58 ค่อนข้างอ่อนแอ ถึงปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ได้ปรับตัวลดลงแล้วกว่า 12% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจฟื้นตัวต่ำกว่าคาด ความล่าช้าในการใช้จ่ายของภาครัฐ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนและ ผู้บริโภคที่ลดลง อีกทั้งยังถูกซ้ำเติมจากสถานการณ์ในตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลดลงและการอ่อนตัวลงอย่างรุนแรงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์

หุ้น Top Picks สำหรับไตรมาส 1/59 แนะนำหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่งเป็นทุนเดิม และมีประเด็นการเติบโตที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวของประเทศเพื่อนบ้านเมื่อมีการเปิด AEC ซึ่งธุรกิจที่น่าจะได้รับประโยชน์ได้แก่ ธุรกิจต่อเติมและปรับปรุงที่อยู่อาศัย ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจยานยนต์ ธุรกิจบริการทางการเงิน และธุรกิจท่องเที่ยว ประกอบด้วย

บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) กำไรมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นและ valuation น่าสนใจ การเปิด AEC จะช่วยสนับสนุนให้กำไรเติบโตเพิ่มมากขึ้น เพราะจะกระตุ้นให้ความต้องการเดินทางท่องเที่ยวและทำธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น ,บมจ. อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) (AEONTS) กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการขยายสินเชื่อได้มากขึ้น การตั้งสำรองลดลง และค่าใช้จ่ายตั้งสำรองที่ชะลอตัวลง บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาด CLMV จาก1%ในปัจจุบัน สู่ 10% ภายในปี 63 หรือเติบโตเฉลี่ย 43% ต่อปี

บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) ราคายังปรับขึ้นช้า และน่าจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ เพราะประกอบธุรกิจโรงแรมเป็นหลักและครอบคลุมทุกตลาดการเปิดเออีซี ซึ่งจะสนับสนุนให้กำไรเติบโตเพิ่มมากขึ้น , บมจ. เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป (MAJOR) เป็นหุ้นที่น่าซื้อลงทุนในระยะยาว เพราะแนวโน้มกำไรแข็งแกร่ง โดยมีการวางแผนขยายโรงภาพยนตร์เท่าตัวจาก 517 โรงในปัจจุบัน สู่ 1,000 โรงในปี 63 สัดส่วนรายได้จากตลาด CLMVจะเพิ่มขึ้นจาก 3% ในปัจจุบัน สู่ 20% ในปี 63

บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) สัดส่วนรายได้จากตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นจาก 12% ในปี 49 สู่ 22% ในช่วงครึ่งแรกของปี 58 และกำลังการผลิตใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในอาเซียนและจะเริ่มเดินเครื่องผลิตระหว่างปี 58-60

นายอิสระ กล่าวถึงการประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ 900 MHz และ 1,800 MHz ครั้งที่ผ่านมาว่า การประมูลใบอนุญาตมีราคาแพงกว่าที่คาด ส่งผลต่อต้นทุนการประกอบธุรกิจที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามระยะยาวยังถือว่ามีความน่าสนใจ โดยมองว่า บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) น่าสนใจ ระยาวจะได้ผลดีสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาด เพราะมีครบทุกคลื่นความถี่ แม้ว่าในปี 59 อาจจะมีผลขาดทุนแต่เชื่อว่าผลประกอบการจะกลับมามีกำไรได้ในปี 60 แต่อย่างไรก็ตามเบื้องต้นให้ชะลอการลงทุนก่อนจนกว่าการเพิ่มทุนจะแล้วเสร็จ

ส่วนบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ถือว่ามีความน่าสนใจรองลงมา แม้ว่าจะไม่สามารถประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz ได้ แต่ยังมีคลื่นความถี่อื่นๆอยู่ในมือและมีการเงินที่แข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ตามต้องติดตามการรักษาฐานกลุ่มลูกค้า 2G ที่มีอยู่กว่า 10 ล้านรายว่าจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากน้อยเพียงใด

ขณะที่บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ถือว่ามีความเสี่ยงมากที่สุด เนื่องจากในปี 60 ต้องคืนใบอนุญาตคลื่นความถี่ และต้องพัฒนาระบบอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการตัดค่าเสื่อมเพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนบมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) เป็นผู้เล่นรายใหม่ที่มีความน่าสนใจ แต่อย่างไรก็ตามต้องติดตามว่าจะมีการขยายตลาดอย่างไร เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาราว 12 เดือน เพื่อที่จะขยายโครงข่าย และวางระบบต่างๆให้แล้วเสร็จ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ