(เพิ่มเติม) GOLD ตั้งเป้ายอดขายปี 59 เพิ่มเป็น 1.4 หมื่นลบ.,รุกตลาดแนวราบระดับล่าง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 22, 2015 14:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเปม้นท์ (GOLD) เปิดเผยถึงแผนงานในปี 59 ว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวม 1.4 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจากปีนี้ที่ทำได้ 1.27 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดรับรู้รายได้ในปี 59 บริษัทตั้งเป้าอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท เติบโต 21% จากราว 8 พันล้านบาทในปี 58 โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อีก 3 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีหน้า

อีกทั้งบริษัทมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีหน้าจำนวน 15 โครงการ มูลค่า 1.56 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 11 โครงการ และบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ซึ่งในครึ่งปีแรกของปีหน้าจะเปิด 7 โครงการ ได้แก่ ทาวน์โฮม 3 โครงการ และบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ส่วนครึ่งปีหลังจะเปิดทาวน์โฮมที่เหลืออีก 8 โครงการ พร้อมตั้งงบซื้อที่ดินใหม่ 5 พันล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการและยอดขายไปถึงปี 60 ขณะที่ตั้งงบก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยระดับ 4-5 พันล้านบาท

สำหรับการบริหารงานและการตลาดของบริษัทในปี 59 ได้วางกลยุทธ์หลัก คือ Innovative, Unique, Extra ที่สร้างความสะดวกสบายและตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้า

"ในปี 59 เชื่อว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตขึ้น แต่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงต้องมีความระมัดระวังสูง และต้องมีการพัฒนาสิ่งใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ต้องมีการบริหารงานที่เป็นมืออาชีพ และมีประสบการณ์ ซึ่งโกลเด้นแลนด์คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้มาตลอด และเป็นจุดเด่นของเราที่ทำให้บริษัทเติบโตรวดเร็วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา"นายแสนผิน กล่าว

สำหรับปี 58 บริษัทมั่นใจจะทำยอดขายได้ 1.27 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจากปี 57 ถึง 81% จากการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ทั้ง 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งปิดการขายได้ 5 โครงการ และมั่นใจจะมีรายได้ 8 พันล้านบาทตามเป้าหมาย ซึ่งนับว่าบริษัทเติบโตสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปีนี้มีความต้องการของตลาดลดลงมาอยู่ที่ 4.43 แสนล้านบาท หรือลดลง 16.86% จากปีก่อนที่ 5.33 แสนล้านบาท

นายแสนผิน กล่าวว่า ในปี 59 บริษัทจะหันมารุกตลาดแนวราบระดับล่างในช่วงราคา 1.6-2 ล้านบาทมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการทาวน์เฮาส์ จากปัจจุบันที่เปิดขายเฉพาะโครงการระดับกลาง-บน และส่วนใหญ่เป็นโครงการบ้านเดี่ยว เนื่องจากเห็นถึงอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในโครงการระดับบนที่ซื้อบ้านตั้งแต่ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปมีจำนวนเพิ่มขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าระบนบน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆได้รับผลกระทบกันมาก และทำให้ความสามารถในการกู้ลดลง ขณะที่ธนาคารต่างก็มีความเข้มงวดในการให้สินเชื่อมากขึ้น

แตกต่างจากบ้านระดับล่างที่กลุ่มลูกค้าประกอบอาชีพพนักงานประจำ มีรายได้ที่แน่นอนเข้ามาในแต่ละเดือน ทำให้ธนาคารพาณิชย์มองว่ามีความเสี่ยงไม่สูงมากนัก และได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวน้อยกว่าผู้ประกอบการ ประกอบกับมีนโยบายภาครัฐที่ช่วยสนับสนุนผู้ที่มีรายได้น้อยและยังไม่มีบ้านเป็นของตนเองคอยสนับสนุนการกู้อยู่ รวมถึงในปีหน้าผู้ที่กู้สินเชื่อรถยนต์คันแรกส่วนใหญ่เริ่มปลอดหนี้แล้ว ทำให้มีโอกาสที่ตลาดบ้านระดับล่างจะเติบโตได้อีกมาก

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะรุกตลาดแนวราบในต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นเมืองอุตสาหกรรม อย่างเช่น นครปฐม อยุธยา ชลบุรี และระยอง และภายในปี 60 จะเป็นครั้งแรกของบริษัทที่เปิดโครงการในต่างจังหวัด เนื่องจากมองว่าตลาดในต่างจังหวัดยังมีโอกาสขยายตัวได้ จากการกระจายโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐไปครอบคลุมพื้นที่ไนต่างจังหวัด

ส่วนการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ของบริษัทปัจจุบันอยู่ระหว่างยื่นคำขอจัดตั้งกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยนำอาคารปาร์คเวนเจอร์ และอาคารสาทร สแควร์ มาจัดตั้งกองรีท มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าก.ล.ต. จะอนุมัติได้ช่วงสิ้นปีนี้ และจะจัดตั้งได้ภายในเดือนก.พ.59 ซึ่งบริษัทจะถือหุ้นในกองรีทดังกล่าวในสัดส่วนไม่เกิน 30%

สำหรับการเพิ่มทุนให้กับบุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวน 685.70 ล้านหุ้นให้กับบริษัท เฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (FPHT) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของสิงคโปร์ ในราคาหุ้นละ 7.25 บาทนั้น หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 17 ธ.ค.ได้อนุมัติแล้วนั้น บริษัทคาดว่าจะได้รับเงินจาการเพิ่มทุนครั้งนี้ราว 5 พันล้านบาในช่วงต้นปี 59 และจะนำเงินที่ได้ไปใช้คืนเงินกู้และลงทุนตามแผนงานของบริษัท

ส่วนแผนระยะยาวของบริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 61 แตะระดับ 1.7 หมื่นล้านบาท และมีรายได้อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีการเปิดโครงการใหม่ปีละ 13-15 โครงการในช่วง 3 ปี (ปี 59-61) พร้อมใช้งบซื้อที่ดินเฉลี่ยปีละ 5-8 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ