นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้เข้ามาสนับสนุนจากผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ "เดอะ พอตเตอร์" ซึ่งเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์เมลามีนขึ้นสู่ของใช้ภายในบ้านในระดับพรีเมียม ที่บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ 60 ล้านบาท ในปีหน้า พร้อมตั้งเป้าภายใน 3 ปีจากนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าในห้างเซ็นทรัลต้นปีหน้า รวมถึงการทำการตลาด โดยเน้นการสื่อสารออนไลน์การประชาสัมพันธ์เป็นหลัก รวมถึงจะนำสินค้านี้ขยายตลาดไปยังประเทศคู่ค้าของบริษัท 110 ประเทศ เน้นสิงคโปร์,ออสเตรเลีย,ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์
อีกทั้ง บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ 900 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นใช้เงินลงทุนในประเทศราว 550 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตในส่วนของแพคเกจจิ้ง,ขวด และกล่องอาหาร รวมถึงใช้ในการโปรโมทสินค้าใหม่ ส่วนที่เหลืออีก 350 ล้านบาท จะใช้ในการขยายกำลังการผลิตต่างประเทศ
ปัจจุบันบริษัท อยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการในประเทศเวียดนามจำนวน 2 แห่ง โดยคาดว่าในปีหน้าจะเห็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 แห่ง ซึ่งเป็นธุรกิจโรงงานพลาสติกและแพคเกจจิ้ง โดยคาดว่ารายได้จากประเทศเวียดนามจะขึ้นไปแตะระดับ 2 พันล้านบาท จากปีนี้มีรายได้ราว 1.6 พันล้านบาท
ส่วนความคืบหน้าการนำ Srithai (Vietnam) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SITHAI เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั้น ได้ตั้งบมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และจะมีการยื่นไฟลิ่งในช่วงเดือนก.ย.59 และคาดว่าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ภายในช่วงไตรมาส 2/60 โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจและหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนทางการเงินถูกกว่าการกู้เงินสถาบันการเงินในประเทศเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามภาวะตลาดฯก่อนว่ามีความเหมาะสมหรือไม่
นายสนั่น กล่าวต่อว่า บริษัทคงแผนภายในปี 63 จะมีรายได้แตะ 2 หมื่นล้านบาท โดยจะมีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 50% และในประเทศ 50% จากปัจจจุบันมาจากในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% บริษัทจะเน้นการขยายตลาด และรุกการขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการและการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้