ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน ประเมินว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทยปี 59 และ ปี 60 จะอยู่ที่ 96 บาท และ 109 บาท ตามลำดับ โดยในแง่ของการขยายตัวผลการดำเนินงานปี 59 ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ 10%YoY
“ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นไทยปี 58 มีการปรับลดลงแล้ว 6.4% โดยหลักๆ เป็นการปรับลดผลการดำเนินงานใน 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ พลังงาน สื่อสาร และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ปรับลดลง ต้นทุนการประมูล 4G ที่เพิ่มสูงขึ้น และการขยายตัวของสินเชื่อที่ต่ำกว่าคาดและระดับ NPL ที่เพิ่มสูงขึ้น และในปี 2559 มีโอกาสถูกปรับลดผลการดำเนินงานลง 4.5%“นายจักรกริช กล่าว
สำหรับปัจจัยบวกในประเทศในปี 59 ประเมินว่า ภาครัฐฯ มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในส่วนของงบลงทุน และในส่วนของเชิงนโยบาย โดยฝ่ายวิเคราะห์แบ่งนโยบายเศรษฐกิจที่ที่สำคัญในปี 59 ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.นโยบายด้านการลงทุน และการประมูล โครงการลงทุนภาครัฐฯ จะมีการเบิกจ่ายคาดหวังที่ 2.5 แสนล้านบาท และการประมูล 7.2 แสนล้านบาทที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 59
2.นโยบายด้านการจัดสรรเงินและปรับปรุงด้านกฎหมายเพื่อเร่งการลงทุน ทั้งการระดมทุนผ่าน Thailand Infrastructural Fund และการอนุมัติลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม และ 3.การออกนโยบายสนับสนุนปฏิรูปโครงสร้างเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ได้แก่ การปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี, การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกการเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาล (Medical Hub) และการแก้ไขกฎหมายความเสี่ยงด้านการบิน
ส่วนปัจจัยเสี่ยงในประเทศ ประเมินว่ายังคงมาจากเรื่องการเมืองทั้งในแง่ของการผ่านประชามติร่างรัฐธรรมนูญให้ทันในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 เพื่อให้ทันกำหนดการเลือกตั้งช่วงกลางปี 2560 และประเด็นเรื่องการตัดสิทธิพิเศษทางการค้าจากต่างประเทศ ประเด็นเรื่องปัญหาภัยแล้งมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อรายได้ภาคเกษตรกร
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ มองว่า ปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศจะมีผลมากกว่าความเสี่ยงในประเทศ โดยมองความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในปี 2559 อยู่ 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความเสี่ยงเรื่องการหดตัวของทุนสำรองของประเทศจีน และการอ่อนค่าของค่าเงินหยวน, การหดตัวของสภาพคล่องโลกที่เกิดจากแรงขายตราสารหนี้ในสหรัฐฯ , ความเสี่ยงด้านเครดิตของบริษัทข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความตึงเครียดของการเมืองระหว่างประเทศ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ในปี 2559 แนะนำเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เราให้น้ำหนักมากกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล ,กลุ่มท่องเที่ยวและการโรงแรม, กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ, กลุ่มค้าปลีก โดย Top Picks ในกลุ่มที่เป็น Big Cap. ได้แก่ BDMS, CENTEL, BJC, AOT, IRPC ในขณะที่หุ้น Medium to Small Cap ที่เป็น Top Buy ได้แก่ KAMART, FORTH, SMPC, TKS และ NYT
“อุตสาหกรรมที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุน และมีโอกาสที่จะโดดเด่นในปี 2559 คือ อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ที่เรารอผลบวกของการขยายธุรกิจในต่างประเทศ (CBG, ICHI) และกลุ่มธุรกิจ Digital TV ที่เรารอดูแนวโน้มการเพิ่มสัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มตามเรทติ้ง (WORK, RS) ส่วนอุตสาหกรรมที่เราให้น้ำหนักต่ำกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มธนาคาร, กลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มธุรกิจเกษตร" นายจักรกริช กล่าว