(เพิ่มเติม) BCP ตั้งเป้า EBITDA ปี 59 ที่ 1.26 หมื่นลบ.ลดลงจากปีนี้, รุกขยายพลังงานทดแทน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 23, 2015 16:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานในปี 59 ที่ระดับ 12,600 ล้านบาท จากแนวโน้มค่าการกลั่น (GRM) ที่ยังอยู่ระดับที่ดี ต่อเนื่องจากปีนี้ที่มองว่าค่าการกลั่นจะอยู่ระดับ 8-9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีการบริโภคน้ำมันมากขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินที่มีความต้องการใช้มาก จนทำให้ปริมาณน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีแนวโน้มจะเริ่มขาดแคลน ขณะที่ส่วนต่าง(สเปรด)ระหว่างราคาน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินสูงมาก นอกจากนี้ ยังคาดว่าการกลั่นน้ำมันของบริษัทในปีหน้าจะยังอยู่ระดับสูงใกล้เคียงปีนี้ที่ 1.13 แสนบาร์เรล/วัน

ขณะที่ประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบในปีหน้า จะเคลื่อนไหวในกรอบที่ค่อนข้างกว้างระหว่าง 30-58 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปัจจัยการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ค่าแงินสหรัฐฯที่แข็งค่าขึ้น และปริมาณน้ำมันดิบที่ล้นตลาด โดยคาดว่าการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5% จากปีนี้ และจากการที่ราคาน้ำมันในช่วงต้นปีนับว่าอยู่ในระดับต่ำจากปัจจุบันที่อยู่ระดับกว่า 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็ทำให้มีโอกาสที่จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันได้ในปีหน้า จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน

สำหรับธุรกิจการตลาด บริษัทจะยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 อย่างต่อเนื่องจากจำนวนสถานีบริการและปริมาณการจำหน่าย โดยปีหน้าคาดว่าจะขยายสถานีบริการน้ำมันอีก 60 แห่ง พร้อมกันนี้จะพัฒนาธุรกิจ non-oil ควบคู่กันไปด้วย

ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมี EBITDA จากการดำเนินงานสูงกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะทำได้ 10,400 ล้านบาท เนื่องจากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปี ธุรกิจตลาดมีปริมาณจำหน่ายสูงต่อเนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดลง และธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่ในเกณฑ์ดีด้วย ซึ่งจะส่งผลให้กำไรสุทธิทั้งปีนี้จะดีกว่า 711.59 ล้านบาทในปีก่อน และดีกว่าหลายๆปีที่ผ่านมา แม้จะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันก็ตาม

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุนในปีหน้าไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน 2-3 พันล้านบาท ,ธุรกิจการตลาดราว 3 พันล้านบาท และลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ,ไบโอดีเซล ,เอทานอล และธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม(E&P) โดยในส่วนธุรกิจ E&P นั้นคาดว่าจะประกาศการเข้าซื้อกิจการแหล่งผลิตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.59 โดยบริษัทมีแผนจะเข้าถือหุ้นราว 30-40% ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่มีปริมาณสำรองราว 10 ล้านบาร์เรล

ขณะที่ในธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้น คาดว่าก่อนสิ้นปีนี้จะสรุปการเข้าซื้อกิจการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในต่างประเทศราว 200-300 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังความร้อนใต้พิภพในต่างประเทศนั้น แม้คณะกรรมการอนุมัติหลักการแล้ว ก็ยังต้องมีการเจรจากับพันธมิตรก่อนด้วย โดยในปี 59 ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 200 เมกะวัตต์ จาก 118 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน

สำหรับแผนลงทุนดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุนภายใต้วงเงิน 9 หมื่นล้านบาท ในช่วงปี 58-63 ซึ่งในส่วนหนี้จะเป็นการลงทุนในธุรกิจใหม่ 5 หมื่นล้านบาท ได้แก่ ธุรกิจ E&P ,ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ,ไบโอดีเซล และเอทานอล โดยธุรกิจไบโอดีเซล จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 8.1 แสนลิตร/วันจากการเดินเครื่องผลิตแห่งที่ 2 ในช่วงกลางปี 59 ขณะที่ธุรกิจเอทานอล ตั้งเป้าจะลงทุน 2 โครงการ กำลังผลิตรวมกว่า 3.5 แสนลิตร/วัน

ทั้งนี้ ตามแผนการลงทุนระยะยาวที่เหลืออยู่ในช่วงปี 59-63 บริษัทได้วางแผนจะเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 1.4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 1.2 แสนบาร์เรล/วันในขณะนี้ และคาดว่าจะมีค่าการกลั่นเฉลี่ย 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงเป้าหมายการนำบริษัท บีซีพีจี จำกัด(BPCG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงไตรมาส 3/59 โดยคาดว่าจะยื่นแบบเสนอขายหุ้น(ไฟลิ่ง)ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.59 เพื่อระดมทุนใช้ขยายงาน ซึ่งบีพีซีจี จะสามารถสร้างกำไรได้ราว 2 พันล้านบาท/ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ