ทั้งนี้ โครงการที่เปิดใหม่ในปีหน้า จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯสัดส่วน 65% เพราะมีศักยภาพมากกว่าตลาดในต่างจังหวัดน ส่วนที่เหลืออีก 35% จะเป็นโครงการในต่างจังหวัด ซึ่งจะอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อย่างเช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และอุดรธานี
"ปีหน้ายอดพรีเซลที่เพิ่มขึ้นเยอะก็มาจากการเปิดโครงการเยอะขึ้น เพราะปีนี้เรามีเลื่อนไปเปิดปีหน้า 6 โครงการ เดิมปีนี้เราวางแผนเปิด 17 โครงการ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท เราปรับมาเปิด 11 โครงการ มูลค่า 2.2 หมื่นล้านบาท ทำให้ปีหน้าเราเปิดมากถึง 21 โครงการ มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท อีกทั้งเรามองว่าตลาดอสังหาฯปีหน้าน่าจะเริ่มดีขึ้นแต่ไม่รวดเร็วมาก ซึ่งจะมาจากการลงทุนภาครัฐเป็นหลักและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่รัฐบาลจะออกมาช่วยทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในปีหน้าดีขึ้น แต่ตลาดอสังหาฯที่ยังคงดีอยู่ก็คงเป็นตลาดบน เพราะความเสี่ยงต่างๆยังต่ำกว่าตลาดล่าง เพราะใช้เงินกู้น้อยกว่าตลาดล่าง"นายวันจักร์ กล่าว
นายวันจักร์ คาดว่ารายได้ปี 59 จะใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท จากยอดขายรอโอน(Backlog) ที่มีอยู่ 2.7 หมื่นล้านบาท จะรับรู้เป็นรายได้ในปีหน้าราว 1.04 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้เป็นรายได้จนถึงปี 61 อีกทั้งในปีหน้ายังมีโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมขายในสต๊อกอีกราว 8 พันล้านบาท ที่จะขายและสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ทันทีในปีหน้า
สำหรับอัตรากำไรสุทธิในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 10% จากคาด 9-10% ในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการรวมต้นทุนการขายและบริหาร (SG&A) จากกลยุทธ์ EFG (Engineer for Growth) และมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนกับบีทีเอสเข้ามาไนช่วงปลายปี 59 ราว 500 ล้านบาท จากการทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียมเดอะไลน์ สุขุมวิท 71 และตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไปจะมีการทยอยโอนโครงการคอนมิเนียมอื่นๆในบริษัทร่วมทุนเข้ามามากขึ้น ซึ่งจะมีการบันทึกส่วนแบ่งกำไรเข้ามาเป็นกำไรในงบกำไรขาดทุนของบริษัททันที และส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปี 61 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15% ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นในปีหน้าคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 32% จากปีนี้ 30% เนื่องจากในปีหน้าสต๊อกของบริษัทได้ลดลงไปมากแล้ว ทำให้จะไม่มีการอัดเคมเปญเพื่อระบายสต๊อกลดลงซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีหน้าที่ 7 พันล้านบาท ลดลงจากปีนี้ที่ใช้ไป 9 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ซื้อที่ดินไปมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ในช่วงหลังๆบริษัทจะเริ่มชะลอการซื้อที่ดินลดลง อีกทั้งโครงการใหม่ 21 โครงการในปีหน้าบริษัทมีที่ดินรอการพัฒนาพร้อมหมดแล้ว อีกทั้งวางงบก่อสร้างในปีหน้า 1.8-2 หมื่นล้านบาท ด้านการออกหุ้นกู้ในปี 59 บริษัทจะเตรียมเสนอผู้ถือหุ้นเพื่อขอเพิ่มวงเงินออกหุ้นกู้เพิ่มอีก 3-5 พันล้านบาท ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นในช่วงเดือนเม.ย. 59 เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดอายุในปีหน้ามูลค่า 2 พันล้านบาท เพื่อนำเงินไปใช้ในการพัฒนาโครงการอื่นๆในอนาคต
นายวันจักร์ กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการในปีนี้คาดว่ากำไรสุทธิจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3.39 พันล้านบาท หลัง 9 เดือนที่ผ่านมีกำไรสุทธิแล้ว 2.5 พันล้านบาท โดยมั่นใจยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย 3 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันทำได้ 2.8 หมื่นล้านบาท และคาดว่ารายได้ในสิ้นปีนี้จะมีรายได้รวมกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท เติบโตราว 25% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 2.95 หมื่นล้านบาท เกินจากเป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้เล็กน้อย แต่นับเป็นรายได้ที่สูงที่สุดที่เคยทำได้ โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขาย รวมกับการที่บริษัทเริ่มมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ซึ่งนับเป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัท
ตามแผนความร่วมมือในระยะ 5 ปี ซึ่งแสนสิริและกลุ่มบริษัทบีทีเอสมีแผนพัฒนาคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชนภายใต้บริษัทร่วมทุนจำนวน 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปี