ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม “RML" ที่ “BBB-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 28, 2015 16:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ไรมอน แลนด์(RML) ที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างดีในตลาดคอนโดมิเนียมราคาสูงและสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นหลังจากบริษัทเริ่มมีการส่งมอบยอดขายที่รอรับรู้รายได้ในโครงการคอนโดมิเนียมเป็นจำนวนมากตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงที่บริษัทเน้นพัฒนาเฉพาะสินค้าในตลาดคอนโดมิเนียมราคาสูง ตลอดจนผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินที่ค่อนข้างผันผวนซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดโครงการใหม่จำนวนน้อย รวมถึงความไม่ต่อเนื่องในการเปิดโครงการใหม่

นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงผลงานในการบริหารโครงการใหม่ในระยะเวลาอันสั้นของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารระดับสูงชุดปัจจุบันของบริษัทเนื่องจากบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารระดับสูงหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง ตลอดจนความกังวลในภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว และระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาและส่งมอบโครงการที่อยู่อาศัยได้ตามแผน ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถเปิดโครงการใหม่ได้อย่างต่อเนื่องและสามารถส่งมอบได้ตามแผนโดยยังคงรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานเอาไว้ที่ระดับ 10%-15% และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในระดับที่ต่ำกว่า 55% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ต่ำกว่า 1.5 เท่าเอาไว้ได้ ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงจากระดับเป้าหมาย

RML ก่อตั้งในปี 2530 โดยนางจุไรรัตน์ อี. โบนิเธิร์น (E. Bonithern) และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2537 บริษัทเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงปี 2543 จนถึงปี 2546 และมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่หลายครั้งดังนี้ ในปี 2545 บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากนั้นในปี 2548 กลุ่ม Teigen ได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ ต่อมาในช่วงปลายปี 2549 Istithmar Hotels FZE และ IFA Hotels & Resorts 3 Ltd. (IFA) ได้กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 JS Asset Management Pte. Ltd. (JS) ได้เข้ามาซื้อหุ้น 24.98% ของบริษัทจาก IFA และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทน โดย JS เป็นบริษัทโฮลดิ้งเพื่อการลงทุนสัญชาติสิงคโปร์ซึ่งมี Mr. Lee Chye Tek Lionel เป็นเจ้าของ Mr. Lee ยังเป็นเจ้าของกิจการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มธุรกิจ

Jit Sun Investment (Jit Sun) ซึ่งประกอบธุรกิจที่หลากหลายอื่น ๆ ด้วย อาทิ ให้บริการก๊าซธรรมชาติและน้ำมันนอกชายฝั่ง ก่อสร้างเรือและให้บริการงานวิศวกรรมสำหรับอุตสาหกรรมเดินเรือและอุตสาหกรรมนอกชายฝั่ง โรงแรมบูทีค รวมไปถึงธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

บริษัทเน้นพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมราคาสูงซึ่งมีราคาขายตั้งแต่ 85,000 บาทจนถึง 400,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ณ เดือนกันยายน 2558 บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาจำนวน 6 โครงการและโครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา 1 โครงการ ซึ่งมีมูลค่ารวม 39,000 ล้านบาท โดยมูลค่าโครงการของ The River และ 185 Rajadamri คิดเป็น 63% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งยูนิตที่ก่อสร้างแล้วและที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง) เท่ากับ 5,900 ล้านบาท และมียอดขายที่รอการรับรู้รายได้จำนวน 6,900 ล้านบาทซึ่งมีกำหนดส่งมอบให้แก่ลูกค้าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 จนถึงปี 2561

ผลการดำเนินงานของบริษัทค่อนข้างผันผวนซึ่งเป็นผลมาจากความไม่ต่อเนื่องในการเปิดโครงการใหม่ รายได้ของบริษัทในช่วงปี 2551-2554 อยู่ในช่วง 1,163 ล้านบาทถึง 3,245 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 5,449 ล้านบาทในปี 2555 และ 5,681 ล้านบาทในปี 2556 ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งมอบคอนโดมิเนียมในโครงการ The River รายได้ของบริษัทในปี 2557 เติบโต 16% จากปีก่อนเป็น 6,581 ล้านบาทจากการโอนคอนมิเนียมโครงการ 185 Rajadamri รายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ลดลง 27% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 4,106 ล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายที่รอรับรู้รายได้จะสามารถส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ตามแผนเนื่องจากโครงการของบริษัทตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีการเก็บเงินดาวน์ที่สูงถึง 25%-40% ของราคาขาย ดังนั้น จึงคาดว่ารายได้สำหรับปี 2558 จะอยู่ที่ประมาณ 4,900 ล้านบาท รายได้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าได้รับแรงหนุนบางส่วนจากยอดขายที่รอการรับรู้รายได้จำนวน 4,200 ล้านบาทในปี 2559 จำนวน 1,300 ล้านบาทในปี 2560 และจำนวน 600 ล้านบาทในปี 2561

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทดีขึ้นตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมาซึ่งเป็นผลจากการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียม The River ในปี 2555 และโครงการ 185 Rajadamri ในปี 2557 บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเป็น 18%-20% ในช่วงปี 2555-2556 และเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 27% ในปี 2557 และ 25% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 อัตรากำไรสุทธิฟื้นตัวขึ้นเป็นประมาณ 10% ในช่วงปี 2555-2556 และประมาณ 18% ในช่วงปี 2557 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2558 โดยเพิ่มขึ้นจาก -41% ในปี 2554 และ 2% ในปี 2553 อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานจะลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้าเนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จอยู่ในระดับต่ำกว่าอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการ The River และโครงการ 185 Rajadamri อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทจะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับประมาณ 10%-15% เอาไว้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทในช่วงปี 2550-2556 อ่อนแอกว่าบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ โดยอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ระหว่าง 58% ถึง 92% และดีขึ้นเป็น 50% ณ เดือนธันวาคม 2557 และ 43% ณ เดือนกันยายน 2558 การส่งมอบโครงการ 185 Rajadamri ตั้งแต่ต้นปี 2557 ทำให้ช่วยลดภาระหนี้ของ

บริษัท สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 55% แม้ว่าบริษัทจะมีแผนลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่ามากขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้าก็ตาม ทั้งนี้ สภาพคล่องของบริษัทยังเพียงพอ โดย ณ เดือนกันยายน 2558 บริษัทมีเงินสดในมือประมาณ 350 ล้านบาทและมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 1,600 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้สินที่ครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 2,000 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ