และในอนาคตคงมีการขยายโรงงานในกัมพูชาเพิ่มอีก 2-3 แห่ง ซึ่งประเมินรายได้ในเบื้องต้นไม่เกิน 20 ล้านบาท/โรง โดยบริษัทจะรับรู้ตามสัดส่วนการถือหุ้น
นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการขยายธุรกิจไปยังเมียนมาร์ในรูปแบบเดียวกับกัมพูชา คาดว่าจะชัดเจนภายใน 1-2 ปีข้างหน้า ส่วนแผนขยายธุรกิจในลาวต้องพับไว้ก่อน แม้ว่าก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการเจรจากับพันธมิตรไประดับหนึ่งแล้ว แต่พันธมิตรยังไม่พร้อมจะให้ไปร่วมทุน
นายนิพนธ์ กล่าวว่า บริษัทมองว่าธุรกิจในประเทศปีนี้คงยังไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่สดใส โดยคาดว่ารายได้ในปี 59 จะใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ เช่น รถไฟฟ้า ไม่ได้ตอบโจทย์ให้กับธุรกิจของ KCM ที่เน้นกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านทั่วไป
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมั่นใจว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะดีกว่าปีก่อน โดยบริษัทจะเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูง อย่างเช่น โกดังสำเร็จรูป ,โครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป และ หลังคายางมะตอย เป็นต้น
รวมทั้งในปีนี้บริษัทยังไม่ลงทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายสาขาร้านค้าวัสดุก่อสร้าง จากปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 22 สาขา แต่ปรับแนวทางมาเจรจากับพันธมิตรในประเทศเพื่อนำสินค้าไปขายในร้านค้าอื่นๆ แทน เพราะนอกจากจะช่วยในเรื่องของความรวดเร็ว และประหยัดต้นทุนแล้ว ยังลดคู่แข่งทางธุรกิจด้วย
ส่วนธุรกิจคลังสินค้าให้เช่า บริษัยังเดินหน้าตามแผนสร้างคลังสินค้าแห่งที่ 2 ใน จ.ขอนแก่น พื้นที่ 7,800 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 40-50 ล้านบาท จากปัจจุบันมีคลังสินค้าให้เช่าใน จ.เชียงใหม่ พื้นที่ 6,000 ตารางเมตร
"ปีนี้เรามองว่ารายได้ก็คงไม่ได้เติบโตกว่า แต่น่าจะทำได้ใกล้เคียงปีที่แล้ว เพราะเศรษฐกิจแย่มาก ขณะที่เราเองก็ไม่ได้มีการลงทุนขยายสาขาเพิ่ม แต่จะเป็นการจับมือกับพันธมิตรในประเทศนำสินค้าไปขาย ซึ่งก็อยู่ระหว่างเจรจา"นายนิพนธ์ กล่าว