โดยการดำเนินธุรกิจในปี 59 บริษัทยังคงเดินหน้ามองหาตลาดใหม่ๆเพิ่ม จาก B to B มาเป็น B to C ให้มากขึ้น เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าและกระจายความเสี่ยง ควบคู่ไปกับการเน้นขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป เพื่อผลักดันให้เกิดการรับรู้รายได้อย่างสม่ำเสมอ
นายอาทิตย์ กล่าวว่า แนวโน้มอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะขึ้นมาอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 4% จากปี 58 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 3-4% เนื่องจากปีนี้บริษัทฯหันมาหาลูกค้าที่เป็นภาคเอกชน และเป็นรายย่อยมากขึ้น เพื่อให้มีความสามารถในการต่อรองราคาได้มากกว่าเดิม จากที่ปีก่อนบริษัทฯเข้ารับงานภาครัฐฯเป็นส่วนใหญ่ โดยปีนี้บริษัทฯคาดว่ารายได้จะมาจากภาครัฐในสัดส่วน 60% และภาคเอกชน 40% จากปี 58 ที่ผ่านมามีสัดส่วนรายได้จากภาครัฐ 70% และภาคเอกชน 30%
"แนวโน้มอัตรากำไรสุทธิปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เพราะเราจะปรับกลุ่มลูกค้า และหาลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเพื่อให้มีอำนาจในการต่อรองราคาได้ดีขึ้น และเรายังเตรียมที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่เกี่ยวกับหมอนรองรางรถไฟ ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงกว่าสินค้าของบริษัทฯที่มีปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ต้องรอความชัดเจนการลงทุนภาครัฐก่อน"นายอาทิตย์ กล่าว
ขณะที่งบลงทุนในปี 59 บริษัทวางงบไว้สำหรับลงทุน อยู่ที่ 150 ล้านบาท เพื่อลงทุนในการปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ออกสินค้าใหม่ โดยหลักๆจะเน้นให้เครื่องจักรสามารถผลิตแทนกันได้ สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น เพื่อรองรับออเดอร์และความต้องการใช้งานที่หลากหลายในอนาคต
นายอาทิตย์ กล่าวว่า ทิศทางภาพรวมอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างปี 2559 จะค่อยๆฟื้นตัวกลับมาดีกว่าปี 2558 ที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากภาครัฐมีแผนกระตุ้นและขับเคลื่อนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่มีความล่าช้าเป็นอย่างมากในช่วงก่อนหน้านี้ การดำเนินนโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างภาคเอกชนมีโอกาสในการรับงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมาลงทุนในโครงการใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ทั้งสองปัจจัยจะทำให้ภาคธุรกิจคอนกรีต วัสดุก่อสร้าง ได้รับผลดีด้วยเช่นกัน
“CCP มองว่าปี 59 บรรยากาศต่างๆจะค่อยๆกลับมาดีขึ้น และน่าจะเห็นการเดินหน้าลงทุนโครงการใหญ่ของภาครัฐเยอะขึ้น จากนโยบายที่ออกมาหลายอย่างและ การเดินหน้าโปรเจคที่รัฐบาลได้วางแผนไว้แล้ว"นายอาทิตย์ กล่าว
สำหรับรายได้รวมในปี 58 บริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.4 พันล้านบาท โดยไตรมาส 4/58 ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/57 ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี และน่าจะส่งผลดีถึงไตรมาส 1/59 ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ประมาณ 2400 ล้านบาท โดยใช้ระยะเวลา 1.5 ปี ในการทยอยรับรู้รายได้ ซึ่งเฉพาะในปีนี้จะรับรู้รายได้ 60% ของ Backlog ทั้งหมด โดยบริษัทจะทยอยหางานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต เพื่อรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 2พันล้านบาท