ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจเพิ่ม เนื่องจากรถโดยสารรับส่งพนักงานมีความต้องการเชิงคุณภาพมากขึ้น และในกลุ่มลูกค้าของบริษัทมีความต้องการหลายรูปแบบ อีกทั้ง เพื่อให้ลูกค้ามีตัวเลือกในการใช้บริการอย่างเหมาะสม ทั้งในส่วนของรถโดยสาร mini bus ที่จะสามารถลดต้นทุนให้กับลูกค้าได้ถึง 10-15% และรถเช่า VIP Van Service สำหรับให้บริการแก่แขกหรือผู้บริหารของกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม โดยให้บริการรับส่งรูปแบบรายวัน พร้อมพนักงานขับรถที่ได้รับการคัดสรรมาเพื่อให้บริการแบบ VIP ที่จะสามารถทำให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยงบลงทุนการซื้อรถโดยสารทั้งหมดในปี 59 อยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท
"การขยายธุรกิจ VIP Van Service และ mini bus ซึ่งในส่วนนี้จะมีมาร์จิ้นที่สูงกว่าธุรกิจเดิมที่มีอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งหากทำได้ดีจะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 50% จึงเป็นส่วนช่วยให้ภาพรวมกำไรสุทธิขยายตัวขึ้นด้วย"นายปิยะ กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบบริหารจัดการการเดินรถ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อช่วยควบคุมพฤติกรรมการขับขี่และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงพัฒนาบุคลากร โดยจัดหลักสูตรอบรมอย่างต่อเนื่อง และมุ่งเน้นการสร้างรายได้ให้เติบโต รวมถึงบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับต่ำด้วยการจัดโครงสร้างทางการเงินให้มีความเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อมั่นว่าด้วยการบริหารจัดการที่ดี การพัฒนาบุคลากร พัฒนาระบบการดำเนินงานด้านการควบคุมการเดินรถ และเพิ่มสัดส่วนการให้บริการด้วยรถโดยสารของบริษัท ส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ราว 310 ล้านบาท เติบโตไม่น้อยกว่า 15% จากราว 270 ล้านบาทในปีก่อน
นายปิยะ กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่ารายได้จากธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจะขึ้นไปแตะระดับ 500 ล้านบาท ใน 5 ปี (ปี 58-62) โดยรายได้จะมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-30% ซึ่งบริษัทมีแผนการขยายลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ด้านกลยุทธ์การดำเนินงานในปี 59 จากนโยบายของบริษัทที่มีแผนจะเพิ่มลูกค้าในแต่ละปีประมาณ 5-6 ราย ซึ่งขณะนี้มีความชัดเจนแล้ว 3 ราย โดยจะเริ่มให้บริการและรับรู้รายได้ในช่วงต้นปี 59 เบื้องต้นจะเริ่มให้บริการรถรับส่งพนักงานจำนวน 25 คัน ขณะที่ลูกค้ารายอื่นๆคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการขนส่งวัตถุอันตราย 2 ราย โดยคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในช่วงกลางปีนี้ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งแหล่งที่มาของงบลงทุนอยู่ระหว่างพิจารณา ทั้งในแนวทางเพิ่มทุน ,ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ(วอร์แรนต์) และการออกหุ้นกู้ ซึ่งในส่วนนี้จะต้องมีปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินอีกครั้ง
นายปิยะ กล่าวถึงราคาหุ้นในปัจจุบันที่ต่ำกว่าราคาเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ว่า อาจจะเกิดจากความไม่เข้าใจของนักลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัท แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าอนาคตผลประกอบการที่ออกมาจะสะท้อนไปยังราคาหุ้นได้