สำหรับในปี 59 บริษัทฯ ตั้งงบซื้อที่ดิน 3 พันล้านบาทเน้นในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยปีนี้มีแผนจะเปิด 15 โครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดฯ รวมมูลค่า 2.01 หมื่นล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ LPN เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมในปี 59 อยู่ที่ 1.76 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปี 58 ที่มีรายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 1.55 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทจะมีโครงการที่มีกำหนดสร้างเสร็จพร้อมโอนเพิ่มขึ้นอีก 9 โครงการ มากกว่าปีก่อนที่มีโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน 7 โครงการ โดยมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่รอรับรู้รายได้ในปีนี้ 1.1 หมื่นล้านบาท
โดยในช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.59) บริษัทตั้งเป้าทำรายได้จากการโอนคอนโดมิเนียมทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท จากการเร่งโอนโครงการที่อยู่ในสต็อกและโครงการที่สร้างเสร็จในช่วงต้นปี เช่น โครงการคอนโดมิเนียมลุมพินี 24 ที่เป็นโครงการ Super Luxury ของบริษัทที่มีกำหนดโอนในช่วงปลายเดือนมีนาคมเป็นต้นไป เพื่อให้สอดรับกับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่จะครบกำหนดในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ โดยในไตรมาส 1/59 บริษัทจะมีรายได้จากการโอนโครงการเข้ามาราว 9 พันล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าในช่วง 4 เดือนแรกที่จะทำรายได้นิวไฮนั้น จะส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัททำนิวไฮตามไปด้วย และคาดว่ากำไรสุทธิทั้งปี 59 ก็จะทำนิวไฮต่อเนื่องจากปีก่อน จากการเติบโตของรายได้การโอนโครงการของบริษัท โดยรายได้รวมของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าอยู่ที่ 1.96 หมื่นล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อนที่ 1.67 หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้รวมของบริษัทจะมาจากรายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียม รายได้จากการขายโครงการแนวราบ และรายได้อื่นๆ
สำหรับยอดขายพรีเซลของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าอยู่ที่ 1.76 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 58 ที่ทำได้ 1.45 หมื่นล้านบาท โดยจะมีการเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.01 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑล 10 โครงการ มูลค่ารวม 1.76 หมื่นล้านบาท ซึ่งมี 2 โครงการที่เลื่อนเปิดจากปีที่แล้ว มูลค่าโครงการราว 5.5 พันล้านบาท ส่วนโครงการแนวราบของบริษัท พรสันติ จำก่ด วางแผนเปิด 5 โครงการ มูลค่า 2.5 พันล้านบาท
ด้านงบซื้อที่ดินปีนี้บริษัทตั้งงบไว้ที่ 3 พันล้านบาท ไว้ซื้อที่ดินในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯและปริมณฑลยังมีศักยภาพสูงกว่าตลาดในต่างจังหวัดที่ปัจจุบันยังชะลอตัวอยู่ นอกจากนี้บริษัทยังมีวงเงินที่ได้ขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อที่จะออกหุ้นกู้เหลืออยู่อีก 1.2 พันล้านบาท จากวงเงินรวม 2 พันล้านบาท ซึ่งปีที่แล้วบริษัทได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 2 ครั้ง วงเงินรวม 800 ล้านบาท สำหรับปีนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมในการออกหุ้นกู้
นายโอภาส กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้มองว่าในช่วง 4 เดือนแรกจะเห็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆเร่งระบายสต็อกออกมาเพื่อให้ทันกับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ และหลังจากนั้นซึ่งอาจจะเป็นครึ่งปีหลังจะเห็นผู้ประกอบการต่างๆทยอยเปิดโครงการมากขึ้น หากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการมั่นใจว่ามีสต็อกลดลงมากแล้ว นอกจากนี้ภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่ภาครัฐจะมีการลงทุนมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวขึ้น ส่งผลช่วยหนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอนและหนี้ครัวเรือนในประเทศที่มีผลต่อการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์