หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี นับตั้งแต่ปี 2006 ทำให้เป็นโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ (USD assets) ซึ่งได้รับอานิสงส์จากภาวะค่าดอลลาร์แข็ง ขณะที่สัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความน่าสนใจมากขึ้น
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวได้ต่อเนื่องในระดับปานกลาง (DB คาด GDP ปี 2015-2016 ที่ 2.4 และ 2.1% ตามลำดับ) โดยมีปัจจัยบวกจากการบริโภคที่ขยายตัวได้ดีตามการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และสภาพอากาศที่อบอุ่นกว่าปกติ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อ GDP ในไตรมาส 1/2016 ขณะที่การแข็งค่าของดอลลาร์แม้จะยังกดดันการส่งออก โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าการแข็งค่าของเงินดอลลาร์อาจเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะมีธุรกิจจดทะเบียนบางส่วนที่ลงทุนนอกประเทศ แต่เรากลับมองว่ากรณีดังกล่าวเป็นปัจจัยบวก โดยเฉพาะสำหรับหุ้นกลุ่มการเงินและค้าปลีก (Financial & Retail) เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์จะทำให้ราคาสินค้าโดยเฉลี่ยถูกลงช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ส่งผลให้ยอดค้าปลีกในสหรัฐฯ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นได้
ปัจจุบัน ทิสโก้มีกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ แต่เนื่องจากเรามองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาเพื่อสะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นั้นจะส่งผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ (USD assets) เราจึงออกกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ในรูปแบบที่ไม่ป้องกันอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นมา เพื่อเป็นอีกทางเลือกการลงทุน เพื่อเปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์เมื่อแปลงกลับมาเป็นสกุลเงินบาท" นายสาห์รัช กล่าว
ทั้งนี้ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ อันเฮดจ์" มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุน SPDR S&P 500 ETF เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 โดยมีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 5,000 บาท และเนื่องจากกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้