"ตลาดหุ้นก่อนการขึ้นดอกเบี้ยโดยปกติจะตอบสนองในเชิงลบก่อน แต่หลังจากขึ้นไปแล้ว ตลาดก็จะเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเราคาดว่าในเดือนมีนาคมนี้สหรัฐฯมีโอกาสปรับขึ้นได้มากกว่าเดือนมกราคม เพราะสหรัฐฯเพิ่งปรับขึ้นดอกเบี้ยไปเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน เดือนมกราคมอาจจะยังเร็วไปที่จะปรับขึ้น ซึ่งการคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยจะสงผลกดดันตลาดและทำให้ตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์นี้"นายกวี กล่าว
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 1/ 59 ยังมีปัจจัยกดดันเกี่ยวกับค่าเงินหยวนอ่อนค่า เป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกดดันให้ค่าเงินสกุลเอเชียอ่อนค่าตาม โดยจะเห็นได้ว่าช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มากจากปัจจัยภายนอก และยังเปึนช่วงขาลง
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นหลังตลาดรับข่าวปัจจัยภายนอกไปมากแล้ว แต่จะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นที่ไม่แรงมากและยังมีความผันผวนอยู่บ้าง เพราะต้องรอดูผลลัพธ์ของการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯจะทำให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นหรือไม่ และเศรษฐกิจจีนจะยังชะลอหรือไม่หลังการปฏิรูปเศรษฐกิจ แต่แนวโน้มภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเป็นการฟื้นตัวแบบช้าๆ
ส่วนในประเทศปีนี้ถือว่ามีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้น หลังภาครัฐเร่งการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ส่วนผลกระทบจากภัยแล้งที่กังวลกันนั้นน่าจะลดลงจากการเตรียมพร้อมแก้ปัญหาของภาครัฐตั้งแต่ปีที่แล้ว อีกทั้งราคาน้ำมันคาดว่าจะไม่ลงไปต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งจะไม่ส่งผลกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์
"เรามองว่าราคาน้ำมันคงไม่ลงไปต่ำกว่าปีก่อนแล้ว แต่หากลงไปต่ำกว่า 30 เหรียญต่อบาร์เรล ก็คงกระทบต่อประมาณการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงานอย่างมาก"นายกวี กล่าว
ทั้งนี้ บล.กสิกรไทย ให้กรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ โดยแนวต้านอยู่ที่ 1,450-1,460 จุด แนวรับอยู่ที่ 1,150-1,200 จุด ที่ P/E 12-12.5 เท่า และประเมินอัตราการเติโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนไนประเทศ (EPS Growth) เติบโต 14% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 93 บาทต่อหุ้น จากปีก่อน 82 บาทต่อหุ้น
ส่วนกลยุทธ์ในการลงทุนหากเป็นนักลงทุนในระยะกลาง-ยาว ให้ลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้น และยังแนะนำให้ชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับผลกระทบเกราคาน้ำมันที่ผันผวนและลดลง ประกอบกับรับผลกระทบจากแหล่งพลังงานใหม่ที่สามารถทดแทนน้ำมันได้ อีกทั้งชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากต้องรอดูภาวะการแข่งขันในตลาดทั่คาดว่าจะรุนแรง และอาจจะต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งกระทบกำไรของบริษัทในกลุ่มสื่อสาร แต่ถ้าหากต้องการลงทุนแนะนำ ADVANC
กลุ่มที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของการท่องเที่ยวไทย คือ กลุ่มการบิน เช่น AOT และ BA กลุ่มโรงแรม เช่น MINT CENTEL และ ERAWAN กลุ่มโรงพยาบาล เช่น BH และ BDMS นอกจากนี้ยังมีกลุ่มค้าปลีกที่จะได้รับผลดีจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ โดยแนะนำ HMPRO ROBINS และ GLOBAL อีกทั้งหุ้นกลุ่มรับเหมา อย่างเช่น CK ก็ยังน่าสนใจจากการลงทุนของภาครัฐ แต่หากอยากลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข่องกับพลังงานแนะนำหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี อย่างเช่น SCC