(เพิ่มเติม) กลุ่ม PTT ยังไม่ตัดสินใจใช้โครงการซื้อหุ้นคืนเพิ่มแม้ราคาหุ้นลงต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 12, 2016 15:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ปตท (PTT) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท.ยังไม่ตัดสินใจจะใช้โครงการซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติม หลังจากที่ราคาหุ้นในกลุ่ม PTT ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ร่วงลงแรง โดยขณะนี้มีเพียงบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เพียงบริษัทเดียวที่อยู่ระหว่างดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน

อย่างไรก็ตาม บริษัทมองโอกาสที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมามาก เป็นจังหวะของการลงทุนในระยะยาวในธุรกิจน้ำมัน ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ธุรกิจถ่านหินในงบการเงินในงวดไตรมาส 4/58 ด้วยหลังจากราคาถ่านหินปรับตัวลดลงมามาก

"เราเคยคิดเพราะราคาลงมาเยอะ เราก็คิดมาตลอด คิดไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องนี้...เรามองราคาน้ำมันที่ต่ำก็เป็นเป้าโอกาสการขยายลงทุน การที่ราคาน้ำมันลงแบบนี้เป็น cycle มีลงและก็ขึ้น ก็เป็นโอกาสที่จะมอง long term ของธุรกิจน้ำมัน ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันเราต้องคิดว่าจะบริหารจัดการบริษัทให้มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างไร ทั้งการลด cost และเพิ่ม margin"นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน PTT กล่าว

นายวิรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ปตท.มีกระแสเงินสดราว 1 แสนล้านบาท ซึ่งนับเป็นสภาพคล่องที่มีจำนวนมากและจะต้องบริหารทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ดี ในช่วงที่สถานการณ์ราคาน้ำมันยังผันผวนและอยู่ในระดับต่ำ ท่ามกลางโอกาสในการลงทุนของธุรกิจที่มีอยู่มาก เบื้องต้นบริษัทยังไม่มีแผนที่จะออกหุ้นกู้เพื่อรองรับการลงทุน แต่อาจจะมีการพิจารณาออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด โดยในปีนี้มีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดราว 2 หมื่นล้านบาท

สำหรับราคาน้ำมันที่ปรับลดลงมากในปีที่ผ่านมาทำให้ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) ตั้งด้อยค่าสินทรัพย์จำนวนมากในช่วงไตรมาส 3/58 ซึ่งส่งผลกระทบต่อมายังบริษัทแม่อย่าง ปตท.ด้วย ขณะที่เดียวกันในส่วนของราคาถ่านหินที่ปรับลดลงมากตามราคาน้ำมันนั้น ก็ทำให้ ปตท.ซึ่งมีธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซียจะตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์เช่นเดียวกันในช่วงไตรมาส 4/58 นี้ โดยการบันทึกด้อยค่าดังกล่าวคาดว่าจะอยู่บนพื้นฐานราคาถ่านหินที่กว่า 50 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ต้นทุนของ PTT สูงกว่าระดับดังกล่าว แต่เชื่อว่าจะไม่ทำให้ผลการดำเนินงานของ PTT ขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/58 และเชื่อว่าในปี 59 จะไม่มีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์เพิ่มเติมอีก

ด้านนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT คาดว่า หลังช่วงไตรมาส 1/59 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ แม้ราคาน้ำมันดิบดูไบขณะนี้จะปรับตัวลงมาอยู่ที่กว่า 27 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากเริ่มเห็นบางแหล่งผลิตทยอยหยุดผลิตเนื่องจากไม่คุ้มการลงทุน

ขณะที่ประเทศในตะวันออกกลางที่มีรายได้หลักมาจากน้ำมันนั้น แม้จะสามารถผลิตน้ำมันที่ได้ที่ราคาต้นทุนระดับ 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลได้ แต่การขายในราคาต่ำจะไม่สามารถทำรายได้ให้กับประเทศเหล่านั้นได้เพียงพอ จึงเชื่อว่าประเทศเหล่านั้นคงจะไม่ยอมให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ดังนั้น ปตท.ต้องเตรียมความพร้อมให้เข้มแข็งเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ราคาพลังงานที่ตกลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 58 ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทพลังงานทั่วโลก ซึ่งกลุ่ม ปตท.ได้ปรับแผนการลงทุนให้มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจต่อเนื่องรวมทั้งยังคงรักษาหน้าที่ในการดูแลความมั่นคงด้านพลังงานของชาติ อีกทั้งดำเนินนโยบายในการทบทวนโครงการลงทุนในต่างประเทศ และมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ โดย ปตท. ปรับแผนการลงทุนปี 59 ให้อยู่ที่ 50,839 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการปรับแผนลงทุนในต่างประเทศของธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและธุรกิจก๊าซธรรมชาติได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จากการบริหารแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และวินัยทางการเงินที่เข้มงวด ส่งผลให้ปัจจุบันฐานะการเงินของกลุ่ม ปตท.ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง พร้อมพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสเข้าลงทุนทรัพย์สินที่ดี โดยเข้าไปซื้อและควบรวมกิจการ(M&A)ในธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย หรือ ธุรกิจขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม

นายเทวินทร์ กล่าวว่า ปตท.ได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการลงทุนท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 จาก จ.ระยอง ไปยังระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ผ่าน อ.ไทรน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา-โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ,พระนครใต้ มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ก็จะเริ่มดำเนินการในปีนี้ ซึ่งจะเชื่อมโยงจากภาคตะวันออก ภาคกลาง ไปยังภาคตะวันตก ผ่านโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่(IPP) ส่งผลให้ปริมาณจัดหาก๊าซธรรมชาติเพื่อป้อนให้กับโรงไฟฟ้าครอบคลุมมากขึ้น หากในอนาคตเกิดปัญหาแหล่งก๊าซฯก็จะสามารถใช้ก๊าซจากท่อเส้นที่ 5 ส่งทดแทนได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังเตรียมลงทุนคลังเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) จากปัจจุบันขนาด 5 ล้านตัน รวมส่วนขยายที่จะรองรับเพิ่มได้อีก 5 ล้านตันเป็น 10 ล้านตัน ซึ่งการจัดหา LNG จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นในอนาคต ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย

รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรปิโตรเลียมผ่านธุรกิจปิโตรเลียมและโรงกลั่น โดยเน้นการวิจัยเรื่องพลังงานทดแทนและการผลิตพลาสติกชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตผลทางการเกษตรอีกด้วย

สำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะใช้สถานีความสุข PTT Life station ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคเป็น model ในการขยายไปสู่เพื่อนบ้านให้ได้ใช้สินค้าคุณภาพและบริการที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึง ช่วยสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่รับรู้ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยกับแบรนด์ไทยในต่างประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ